Business

ชี้ช่องเกาะกระแสเทรนด์ฮิต ‘กลุ่ม Digital Nomad’ ขุมทองใหม่ ท่องเที่ยวไทย

Krungthai COMPASS ชี้ช่องเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ขุมทองใหม่ท่องเที่ยวไทย โอกาสเจาะนักท่องเที่ยว 60 ล้านคนปี 2573

หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ไลฟ์สไตล์ในการทำงานของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้นักท่องเที่ยว Digital Nomad ทั่วโลก เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 15.2 ล้านคน ในปี 2562 เป็น 35 ล้านคนในปี 2565 หรือเติบโตขึ้นกว่า 130% และมีโอกาสแตะระดับ 60 ล้านคน ในปี 2573

กลุ่ม Digital Nomad

วิกฤตโควิด-19 ถือเป็นบทเรียนสำคัญของภาคการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการพึ่งพานักท่องเที่ยวทั่วไป ทำให้จำเป็นต้องเร่งแสวงหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายกลุ่มใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในระยะข้างหน้า นอกเหนือจากกลุ่มนักท่องเที่ยวมูลค่าสูงอย่างนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourist) ที่ภาครัฐพยายามผลักดันมาโดยตลอด

นักท่องเที่ยว Digital Nomad นับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ถูกพูดถึง และมีความน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายของหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากเป็นเมกะเทรนด์ที่หลายประเทศตื่นตัว และเห็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และระดับประเทศ อีกทั้งยังมีจุดเด่นเรื่องระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยที่สูงกว่ากลุ่มท่องเที่ยวทั่วไป

นักท่องเที่ยว

ทำความรู้จัก Digital Nomad

กลุ่ม Digital Nomad เป็นกลุ่มที่เลือกรับงานจากประเทศที่มีอัตราค่าจ้างที่สูง แล้วเลือกมาใช้ชีวิตในประเทศที่มีอัตราค่าครองชีพต่ำกว่า แต่มีความสวยงามทางธรรมชาติ และมีความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมแล้วระดับหนึ่ง

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ประกอบกับความก้าวหน้าอย่างมากของเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดนในปัจจุบัน ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์แบบ Digital Nomad กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

นักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad เป็นกลุ่มคนที่ทำงานหารายได้ผ่านระบบออนไลน์ จากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกตามวิถีชีวิตที่แต่ละคนต้องการ พร้อมทั้งเดินทางท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย โดยจะพำนักในแต่ละแห่งเป็นการชั่วคราว และจะย้ายไปยังสถานที่อื่น ๆ ต่อไป

นอกจากนี้ ยังสอดรับกับรูปแบบการทำงานให้ยุคหลังโควิด ที่หลายองค์กรยังคงนโยบายให้พนักงานทำงานในรูปแบบ Remote Work ซึ่งเป็นการทำงานผ่านระบบออนไลน์จากสถานที่ใดก็ได้ (Work from anywhere) โดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศเหมือนในอดีต

หรือบางบริษัทอาจอยู่ในลักษณะ Hybrid Work ซึ่งเป็นการผสมระหว่าง Remote Work และการทำงาน ณ สำนักงานเข้าด้วยกัน

ขณะที่ผลการสำรวจพนักงานรุ่นใหม่กว่า 2.2 หมื่นคน จาก 44 ประเทศทั่วโลกของ Deloitte ที่พบว่า ปัจจุบันมีพนักงานราว 55-61% ที่ทำงานอยู่ในรูปแบบ Remote/Hybrid Work และมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกตามความต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของพนักงานในอนาคต

ปัจจุบัน Digital Nomad ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. Freelance คือ ผู้ที่ทำงานอิสระไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด และรับงานเป็นรายครั้ง 2. Remote Worker คือ ผู้ที่เป็นพนักงานประจำในบริษัทฯ ที่ทำงานนอกสำนักงานโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย และ 3. Entrepreneurs คือ กลุ่มผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ

สำหรับโปรไฟล์ของกลุ่ม Digital Nomad พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอเมริกันเป็นหลักโดยมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของกลุ่ม Digital Nomad ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ สหราชอาณาจักร (7%) รัสเซีย (5%) แคนาดา (4%) และเยอรมัน (4%)

สัญชาติ

ขณะเดียวกันยังพบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นชาวมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่ม Gen Y โดยกว่า 83% จะประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งอาชีพที่พบได้มากที่สุดคือ งานด้านคอมพิวเตอร์/ไอที นักการตลาด งานออกแบบ นักเขียน และงานด้าน E-Commerce

ส่วนสถานที่ที่นิยมใช้เป็นที่ทำงานแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มที่ต้องการเสียงและบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้มีสมาธิในการทำงาน จะเลือกทำงานใน Co-working Space เป็นหลัก และ 2. กลุ่มที่ต้องการความเงียบสงบในการทำงานจะเลือกทำงานในที่พักอาศัยเป็นหลัก

ในด้านค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตของกลุ่ม Digital Nomad จะมีงบประมาณในการใช้จ่ายเฉลี่ย 1,875 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือราว 6.2 หมื่นบาทต่อเดือน โดยมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน ก่อนจะย้ายเมืองหรือประเทศที่ใช้เป็นสถานที่ทำงานใหม่ต่อไป

จากผลสำรวจของ ABrotherAbroad.com ยังระบุว่า 5 ปัจจัยหลักในการเลือกจุดหมายปลายทางของกลุ่ม Digital Nomad คือ

  • ค่าครองชีพต่ำและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
  • ความปลอดภัย
  • แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
  • วีซ่าที่เหมาะสม
  • ร้านกาแฟ/Co-working Space

shutterstock 1932803318

ประเด็นค่าครองชีพและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากมีผลต่อกำลังซื้อและประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง ขณะที่เรื่องความปลอดภัย ทั้งความปลอดภัยด้านอาชญากรรม และสภาพแวดล้อม มีความสำคัญรองลงมา

เกาะเทรนด์ Digital Nomad ความหวังใหม่ท่องเที่ยวทั่วโลก

จากรายงาน Global Digital Nomad Study ของ ABrotherAbroad.com ประเมินว่า กลุ่ม Digital Nomad ทั่วโลก สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 787 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณปีละ 26.8 ล้านล้านบาท

ในปี 2565 จำนวน Digital Nomad ทั่วโลก พุ่งขึ้นแตะระดับ 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีจำนวนเพียง 15.2 ล้านคน และมีโอกาสแตะระดับ 60 ล้านคน ในปี 2573

เมื่อพิจารณาเฉพาะ Digital Nomad ชาวอเมริกันที่มีสัดส่วนกว่าครึ่ง พบว่า Digital Nomad ชาวอเมริกันมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 7.3 ล้านคน ในปี 2562 เพิ่มเป็น 16.9 ล้านคน ในปี 2565

จากแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว ทำให้หลายประเทศทั่วโลก เล็งเห็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจเเละการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยได้ออกนโยบายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกวีซ่าพิเศษ

ปัจจุบันมีประเทศที่ออกวีซ่า Digital Nomad แล้วกว่า 44 ประเทศ แบ่งเป็นประเทศในภูมิภาคยุโรป 17 ประเทศ แคริบเบียน 10 ประเทศ อเมริกาเหนือและอเมริกากลาง 7 ประเทศ ตะวันออกกลาง 2 ประเทศ เอเชีย 4 ประเทศ และแอฟริกา 4 ประเทศ และยังมีอีก 10 ประเทศที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ

นอกจากการออกวีซ่าพิเศษแล้ว ยังมีการออกนโยบายด้านอื่น ๆ อาทิ การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ทั้งในรูปแบบการลดภาษีหรือยกเว้นภาษี การออกใบอนุญาตพลเมืองดิจิทัล (e-Resident) การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพื่อเป็นช่องทางในการให้ข้อมูลและความช่วยเหลือ

ท่องเที่ยวไทยต้องเร่งเครื่องรับเทรนด์ 

ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad เป็นอย่างมาก สะท้อนจากการที่กรุงเทพฯ ติดอันดับ 2 ของการจัดอันดับสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดในปี 2566 ของ ETHRWorld รองจากเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส

ขณะที่ผลการจัดอันดับเมืองที่ดีสุดในเอเชียสำหรับชาว Digital Nomad ของ nomadlist.com พบว่า ประเทศไทยติดอันดับ Top-10 ถึง 3 แห่ง ได้แก่ 1. เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี (อันดับ 1) 2. กรุงเทพฯ (อันดับ 2) 3. จ.เชียงใหม่ (อันดับ 9)

นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ไทยจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านนี้ เพื่อไขว่คว้าโอกาสจากการเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพที่มีจุดเด่นในเรื่องระยะเวลาพำนักในไทยที่ค่อนข้างนาน ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปสูงกว่านักท่องเที่ยวโดยรวมอย่างชัดเจน

พร้อมกันนี้ ไทยยังมีจุดแข็งหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม มีสถานที่หรือ Co-working Space ที่เหมาะแก่การทำงานจำนวนมาก มีขนส่งมวลชนให้เลือกหลากหลาย ค่าที่พักไม่สูงนักและมีหลายระดับหลายราคาให้เลือก และอาหารที่มีเอกลักษณ์และรสชาติอร่อย รวมไปถึงผู้คนที่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติ ภายใต้ค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล

หากเปรียบเทียบค่าครองชีพในไทยกับสหรัฐ ซึ่งชาวอเมริกันเป็นกลุ่มหลักที่เป็น Digital Nomad พบว่า ค่าครองชีพในไทยถูกกว่าสหรัฐถึง 60% และยังถูกกว่าประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในภูมิภาคยุโรปอย่างสเปนและโปรตุเกสประมาณ 30% และ 18% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังถูกกว่าเกาหลีใต้ 22%

ค่าครองชีพ

ที่ผ่านมาภาครัฐของไทยได้เล็งเห็นความสำคัญและพยายามจะยกระดับการท่องเที่ยวมูลค่าสูง โดยตั้งเป้าดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทยผ่านการออก Long-Term Resident Visa (LTR) โดยให้สิทธิพำนักในประเทศไทยได้ถึง 10 ปี พร้อมได้ใบอนุญาตทำงานควบคู่ไปด้วย

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า LTR Visa ของไทยนั้น มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างเข้มงวดกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะเงื่อนไขในการกำหนดรายได้ขั้นต่ำของ Work-From-Thailand Professional ที่กำหนดไว้ที่ 8 หมื่นดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 2.3 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ

Krungthai COMPASS มองว่า หากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุน และส่งเสริมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ อย่างเป็นรูปธรรม และสามารถปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวของไทย แตะระดับ 2.5 แสนคน ในปี 2570 และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้ประมาณ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท

ธุรกิจที่ได้ประโยชน์ต่อเนื่อง

Krungthai COMPASS ประเมินว่า การเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจหลัก ดังนี้

1. ธุรกิจที่พักแรม และร้านอาหาร เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายหลักในการดำรงชีวิต เช่น ธุรกิจ Co-Living Space, Service Apartment, Hostel, โรงแรม และ ธุรกิจ Co-working Space ที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม

จากผลสำรวจของ The Adventure Travel Trade Association (ATTA) พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านค่าที่พักและอาหารมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของค่าใช้จ่ายโดยรวมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ซึ่งในระยะแรกธุรกิจที่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่เป็นที่นิยมของกลุ่ม Digital Nomad เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และเกาะพะงัน อาจได้รับประโยชน์เด่นชัดกว่า

อย่างไรก็ดี ภาครัฐสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวประเภทนี้ ให้กระจายไปสู่เมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ รวมถึงเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปทั่วประเทศให้มากขึ้น โดยเน้นจุดเด่นเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพถูกกว่าเมืองท่องเที่ยวหลัก พร้อมทั้งได้ใกล้ชิดธรรมชาติ วัฒนธรรม และชุมชนมากกว่าในเมืองหลัก

2. ธุรกิจบริการเช่ารถจักรยานยนต์ ผลสำรวจของ บริษัท รีเสิร์ช อินเทล ลิเจนซ์ และ ททท. พบว่านักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ที่เดินทางมายังประเทศไทยประมาณ 50-80% เช่ารถจักรยานยนต์ขับขี่เองเป็นหลัก

3. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอมมูนิตี้ เช่น การจัดกรุ๊ปทัวร์ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ รวมถึงคลาสออกกำลังกาย เช่น โยคะ มวยไทย เป็นต้น เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ที่มักจะเดินทางเพียงลำพัง ทำให้มีความต้องการเข้าสังคมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ

4. ธุรกิจโทรคมนาคม เนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของค่ายมือถือต่างๆ ในการนำเสนอแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ตอบโจทย์การใช้งานนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

ธุรกิจ 1

สำหรับธุรกิจต่อเนื่อง หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางอ้อม ก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน ได้แก่

1. ธุรกิจค้าปลีก ทั้งในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า

2. ธุรกิจสถานบันเทิง จากผลสำรวจของ AbrotherAbroad.com ระบุว่า อุปสรรคสำคัญที่สุดของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ คือ ความเหงา เนื่องจากต้องห่างไกลจากครอบครัวและเพื่อนฝูง ดังนั้น สถานบันเทิงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียด

3. ธุรกิจการแพทย์ ทั้งสถานพยาบาลและร้านขายยา การใช้ชีวิตในต่างแดนในสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศที่ไม่คุ้นเคยเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีโอกาสเจ็บป่วย และจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักจะเลือกทำประกันสุขภาพการเดินทาง (Travel Health Insurance) ไว้ด้วย

แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ 

ผู้ประกอบการที่สนใจทำตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว ควรมีแนวทางการปรับตัว ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ดังนี้

  • มีบริการ Hi Speed Internet 24 ชม. ที่เสถียร และปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจมีเครือข่ายสำรองไว้ ในกรณีที่เครือข่ายหลักไม่สามารถทำงานได้ รวมถึงมีการให้บริการ VPN (Virtual Private Network) หรือเครือข่ายส่วนตัวเสมือน ทั้งในส่วนของผู้ให้บริการและตัวอุปกรณ์เชื่อมต่อ เพื่อใช้สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายในองค์กรผู้ใช้งานได้

  • มี Co-Living Space ที่เอื้อต่อการทำงานทั้งแบบส่วนตัว และแบบกลุ่ม เนื่องจากสามารถอำนวยความสะดวกในการทำงาน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน โดย
    หัวใจหลักของ Co-Living Space คือ การออกแบบพื้นที่ให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้พักอาศัย สร้างความรู้สึกเสมือนบ้านหลังที่สอง

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอาจขยายระยะเวลาการให้บริการ Co-working Space เป็น 24 ชม. เนื่องจากบางครั้ง Digital Nomad ต้องประชุมกับผู้ร่วมงานในประเทศอื่น ๆ ที่มีความแตกต่างกันเรื่องเวลา

ขณะที่ผู้ประกอบการ Hostel ในปัจจุบัน อาจพัฒนารูปแบบของที่พักอาศัยเป็น Co-Living Space ได้ เนื่องจากส่วนใหญ่มีลักษณะทางกายภาพที่เหมาะสม เช่น มีพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่นั่งเล่น พื้นที่ครัวกลางสำหรับทำอาหารร่วมกันอยู่แล้ว

  • ส่งเสริมให้มี Community สำหรับนักท่องเที่ยว Digital Nomad อาทิ การจัดปาร์ตี้ในพื้นที่ Co-working Space การจัดแสดงดนตรีสด หรือการเปิดพื้นที่ให้สมาชิกได้แสดงความสามารถพิเศษ และทำให้เกิดความรู้สึกของความเป็นชุมชน

ขอบคุณข้อมูลจาก: ธนา ตุลยกิจวัตร, สุจิตรา อันโน, กณิศ อ่ำสกุล Krungthai COMPASS

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo