Business

คดีไม่มีมูล! ศาลไม่รับฟ้อง ‘บอร์ดทอท.’ คดีแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี ชี้ ‘ชาญชัย’ ไม่มีอำนาจฟ้อง

“ศาลอาญาคดีทุจริตฯ” ชี้ไม่มีมูล ไม่รับฟ้องคดีที่ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” ฟ้อง “ทอท.” แก้ไขสัญญา “ดิวตี้ฟรี-บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์” 5 ฉบับ เพราะเห็นว่า ไม่มีเจตนาทุจริต หรือกระทำการใดผิด พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง อีกทั้ง “โจทก์” ไม่มีอำนาจฟ้อง

วันนี้ (28 ก.พ.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดคู่ความฟังคำสั่ง หรือคำพิพากษาในคดีที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสงค์ พูนธเนศ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะอดีตประธานกรรมการ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กับพวก รวม 14 ราย

13 Jul 18 12 32 00 PM

ในคดีนี้ นายชาญชัย กล่าวหาว่า นายประสงค์ กับพวก กระทำความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต รวมทั้งเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นเหตุให้ ทอท. ได้รับความเสียหาย จากกรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) และสัมปทานการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสนามบิน ทอท. จำนวน 5 ฉบับ สร้างความเสียหาย 4.2 หมื่นล้านบาท

ศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง ได้สืบพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง พยานปากสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565  และนัดคู่ความฟังคำสั่ง หรือคำพิพากษาในวันนี้ (28 ก.พ.) เพื่อชี้ว่าคดีมีมูลหรือไม่

ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูล จึงไม่รับฟ้อง เนื่องจาก ทอท.เป็นบริษัทมหาชน ซึ่งตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ประกอบกับจำเลยทั้งหลาย ไม่ได้มีเจตนาประการใดเป็นการทุจริต รวมถึงยังมิได้ทำการใด ๆ ผิดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ที่จะต้องดำเนินการอนุมัติก่อน ดังนั้น นายชาญชัย ในฐานะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงพิพากษายกฟ้อง

รายละเอียดคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์มีมูล หรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้ สำหรับความผิดของ จําเลยทั้ง14 ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามง มาตรา 157 พรบ.ว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11นั้น ความผิดฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีองค์ประกอบของการกระทำความผิดสองลักษณะ

ประการแรกจำเลยผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นตัวอย่างของการกระทำ ความผิดทางอาญาที่อาจมีผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมได้ เนื่องจากอาจมีพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนามุ่งต่อความเสียหายของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ และบุคคลผู้ได้รับความเสียหาย จากเจตนาพิเศษดังกล่าวของจำเลยย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และมีอำนาจฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28ได้

ประการที่สอง จำเลยผู้กระทำต้องมีเจตนาโดยทุจริต ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1) บัญญัติ ว่า “โดยทุจริต” หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง หรือผู้อื่น อันเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการกระทำความผิดทางอาญา ที่ไม่มีเหยื่ออาชญากรรมหรือ ผู้เสียหาย ซึ่งถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย

เมื่อการฟ้องคดีอาญาเป็นการดำเนินคดีซึ่งมีผลกระทบต่อ สิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกฟ้อง และบุคคลที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงย่อมต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดขึ้นเพื่อรับรอง คุ้มครอง สิทธิ เสรีภาพ และกำหนดกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาไว้ การฟ้องคดี วิธีพิจารณาคดีย่อมต้องอยู่ ภายใต้บังคับของกฎหมายและต้องดำเนินการไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ดังนั้น ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวในส่วนที่ถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่อาจเป็นผู้เสียหายได้ ส่วนกรณีการกระทําความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติที่อาจมีผู้เสียหายหรือเหยื่อ อาชญากรรมได้นั้น

เมื่อทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 14 กระทำการตามที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดย มีเจตนามุ่งหมายกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์โดยตรงหรือโดยเฉพาะเจาะจง อย่างไร โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มิใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 2(4) โจทก์จึงไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้

shutterstock 1374301073

สำหรับความผิดต่อ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ และความผิดต่อ พรบ.บริษัทมหาชนจํากัดฯ โจทก์บรรยายฟ้องโดยใช้สิทธิฟ้องคดีในฐานะผู้ถือหุ้นใน ทอท. ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และใช้สิทธิเรียกร้องแทนนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมหาชนในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ดังกล่าว

กรณีบุคคลใดจะอ้างว่าตนเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานใด ย่อมต้องพิจารณาว่าบุคคลนั้นได้รับ ความเสียหายหรือถูกกระทบต่อสิทธิของตนเพียงใด ความเสียหายที่เกิดแก่สิทธิที่อ้างว่าถูกกระทบนั้น สิทธิดังกล่าวมีขึ้นตามบทบัญญัติกฎหมายใด เป็นการใช้สิทธิโดยอ้างสถานะใดในทางกฎหมาย และมี ข้อจำกัดสิทธินั้น ๆ ตามกฎหมายหรือไม่

ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ยกขึ้นอ้างหาได้วินิจฉัยถึง เงื่อนไขการฟ้องคดีอันเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ ซึ่งต้องพิจารณาต่อไปว่า เมื่อการใช้สิทธิของโจทก์เกิดขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้น มิใช่บุคคลทั่วไป โจทก์จึงย่อมมีสิทธิและข้อจำกัดสิทธิภายใต้บังคับของกฎหมาย เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นนั้น ๆ กรณีจึงต้องพิจารณาต่อไปว่า สิทธิของโจทก์ถูกกระทบทำให้โจทก์ได้รับความ เสียหายหรือไม่ กล่าวคือ สิทธิของโจทก์อันเกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์ มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นถูกกระทบกระเทือน ต่อสิทธิหรือไม่

ทั้งนี้ สถานะของโจทก์ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นเกิดขึ้นตาม พรบ.บริษัทมหาชน จํากัด ฯและพรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งโดยทั่วไป นอกจากมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ในหุ้นหรือเงินปันผล ผู้ถือหุ้นในฐานะหุ้นส่วนในบริษัทยังมีภาระหรือ ต้องยอมรับในกรณีที่สิทธิหรือผลประโยชน์ที่จะได้รับดังกล่าวต้องถูกกระทบหรือที่ต้องเสียไปเนื่องจาก

การบริหารงานหรือการดำเนินนโยบายของกรรมการหรือผู้มีอำนาจบริหารหรือดำเนินนโยบายนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังถูกจำกัดสิทธิบางประการที่กำหนดให้ผู้ถือหุ้นจำต้องดำเนินการตามกระบวนการ ที่กฎหมายบัญญัติไว้หากจะใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับผลประโยชน์หรือสิทธิที่ต้องเสียไป สิทธิอันเกิดขึ้น หรือมีขึ้นเนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นจึงยังไม่ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินการของกรรมการ หรือผู้มีอำนาจบริหารของบริษัท เนื่องจากจำต้องยอมรับในความเสียหายหรือสิทธิและผลประโยชน์ ที่เสียไปอันเกิดจากการบริหารหรือดำเนินนโยบายของบริษัท โดยจะถือว่าผู้ถือหุ้นนั้นถูกกระทบกระเทือน สิทธิอันเกิดขึ้นจากการมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นนั้น ๆ จนเกิดความเสียหายก็ต่อเมื่อได้ดำเนินการตามกระบวนการจํากัดสิทธินั้นจนครบถ้วนแล้วตามกฎหมาย

47309 0

เมื่อ ทอท. เป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพรบ.บริษัทมหาชนจำกัดฯและ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งได้กำหนดผู้มีอำนาจบริหารบริษัท กระบวนการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการบริหารบริษัทไว้ เพื่อให้การบริหารจัดการบริษัทเป็นไปโดยเรียบร้อย มิให้การดำเนินการของผู้ถือหุ้นแต่ละรายก่อให้เกิด ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายอื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นข้อจำกัดสิทธิของโจทก์ผู้ถือหุ้น เพราะกฎหมาย มีเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ผู้ถือหุ้นเข้าไปก้าวล่วงจัดการเกี่ยวกับธุรกิจปกติของบริษัทมหาชนจำกัด ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการตามกระบวนการ ดังกล่าว สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นที่จะใช้สิทธิเรียกร้องจึงยังไม่เกิดขึ้นตามข้อจำกัดสิทธิของโจทก์ ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายยังไม่ถูกกระทบยังไม่ได้รับความเสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ทั้งไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีอำนาจฟ้องแทน ทอท. ซึ่งเป็น นิติบุคคลได้ ประกอบกับเมื่อพิจารณาแล้วการดำเนินการของจําเลยทั้ง14 ตามฟ้อง มิใช่การดำเนินการอันเข้าบทนิยามตาม พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่ต้องดำเนินการต่อไปตาม พรบ.ดังกล่าวต่อไป

ดังนั้น การที่ไม่ปรากฏ การดำเนินการตาม พรบ.ดังกล่าวจึงมิใช่การอันมิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด สำหรับการฝ่าฝืน ไม่ดำเนินการตามพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561มาตรา 27 ได้ความจาก หนังสือชี้แจงของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและคำเบิกความพยานศาลว่าการดำเนินการของจำเลย ทั้ง14 ตามฟ้องโจทก์ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 27แห่งพรบ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 พร้อมตัวอย่างการดำเนินการของหน่วยงานอื่นที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ แต่ไม่เข้าเงื่อนไขที่จำต้อง ขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามกฎหมายและประกาศดังกล่าว

สนามบินสุวรรณภูมิ

นอกจากนี้ จากทางไต่สวนไม่ปรากฏว่า การดำเนินการตามกฎหมายต่าง ๆ ดังกล่าวที่โจทก์ยกขึ้นอ้างตามฟ้องมีการแปลความหรือแจ้งเวียน เผยแพร่แนวทางปฏิบัติอย่างชัดแจ้งให้เห็นได้ดังที่โจทก์ยกขึ้นอ้างแปลความ อันจะบ่งชี้แสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยทั้ง14ได้ทราบแล้วจงใจไม่ปฏิบัติหรือมีเจตนาปฏิบัติดำเนินการให้ฝ่าฝืนหรือให้ขัดหรือแย้ง ต่อกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยทั้ง14 มิได้ดำเนินการดังที่โจทก์อ้างจึงฟังได้เพียงว่า เป็นการดำเนินการที่แตกต่างหรือไม่ปฏิบัติตามกระบวนการที่สอดคล้องกับความเห็นของโจทก์เท่านั้น

ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้ง14 ได้รับประโยชน์อื่นใดที่มิควรได้โดยชอบแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่ เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และไม่มีผลให้ฟังได้ว่าเป็นการกระทำความผิดตาม พรบ.ว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ฯหรือความผิด ต่อ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฯและพรบ.บริษัทมหาชนฯ

ส่วนปัญหาที่ว่าเงินรายได้ของ ทอท.ทั้งหมดที่ได้รับมาถือเป็นรายได้ของรัฐหรือไม่ การที่ ทอท. แก้ไขสัญญากับเอกชนและการออกมาตรการเยียวยาให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จากผลกระทบโรคติดเชื้อโควิด 19 เป็นการกระทำ ให้รัฐสูญเสียรายได้หรือไม่ และเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืนต่อพรบ.ว่าด้วยการให้เอกชน เข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 มาตรา 20หรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นไรก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง14เป็นคดีนี้ คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo