หลังพ้นเส้นตายเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่อดีตส.ส.จำต้องย้ายพรรคหาสังกัดใหม่กันจ้าละหวั่น เพื่อเตรียมพร้อมรับเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 มีการเสริมจุดอ่อน จุดแข็ง มีการดูดอดีตส.ส.ทั้งบิ๊กเนมและแกนนำกัน“อุตลุด” โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็น“จอมดูด”อย่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สิ้นสุดการดูดทำเอาเหล่าบรรดาแกนนำหลายพรรคออกมาวิพากวิจารณ์กันอย่างหนัก
นาทีนี้ถือว่า“ภารกิจการดูด”ได้เสร็จสิ้นลงแล้วไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม
เริ่มที่พรรคเพื่อไทย ดูเหมือนเป็นพรรคที่เป็นเป้าสายตามากที่สุดที่ถูก“พลังแรงดูด”กระซวกอดีตส.ส.ออกไปหลายกลุ่ม เสมือนเลือดไหลไม่หยุดก่อนพ้นเส้นตายการย้ายพรรค แต่เมื่อเวลาสิ้นสุดก็ดูเหมือนอดีตส.ส.ไหลออกไปไม่มากอย่างที่คิด
เห็นได้ชัดจากการโพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัวของ“วัฒนา เมืองสุข” เขียนข้อความระบุว่า คงไม่มีคำพูดอะไรจะแทนใจพวกเราชาวเพื่อไทยได้มากกว่าคำว่า “ขอบคุณ” พี่น้องประชาชนทุกท่านที่ได้แสดงความห่วงใยและส่งกำลังใจมาให้พวกเรา
“วัฒนา เมืองสุข” ยังแจกแจงว่าอดีต ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยที่ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นประกอบด้วย พลังประชารัฐ 16 คน ชาติไทยพัฒนา 3 คน ภูมิใจไทย 3 คน และเพื่อชาติ 1 คน รวม 23 คน อีกจำนวนหนึ่งไปสังกัด“พรรคไทยรักษาชาติ” มีแนวทางและอุดมการณ์เดียวกันกับพรรคเพื่อไทย เป็นผลพวงมาจากการหลอกลวงประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปการเมือง แต่ในที่สุดหัวหน้านกหวีดและทหารได้ฉวยโอกาสยึดอำนาจ จากนั้นปฏิรูปการเมืองด้วยการดูดอดีต ส.ส. มาเข้าคอกเพื่อหนุนการสืบทอดอำนาจต่อไป
สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราให้อยู่กับพรรคต่อไปคือ “ศรัทธา” ที่พวกเรามีต่อประชาชน ที่จะเป็นกำแพงให้เราพิงและจะหนุนเราให้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและแก้ปัญหาให้กับประชาชน
ไม่เฉพาะแต่ “วัฒนา เมืองสุข” ที่ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว ยังมี“คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ฝ่าพายุมาหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย แต่เราก็ยังยืนหยัดอยู่ได้
แม้กระทั่ง“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็อดรนทนไม่ไหวออกมาระบุว่ากรณีที่มีอดีต ส.ส.ของพรรคย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น 17 คน ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอเตือนพรรคพลังประชารัฐ “ได้อดีต ส.ส.ไปเยอะ ก็อาจจะได้อดีต ส.ส.เยอะหลังการเลือกตั้ง” เรียกว่าช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันออกมาเรียงหน้าถล่มแบบไม่ไว้หน้าทีเดียว
นับจากนี้ไปอาจจะเป็บบทพิสูจน์การได้มาซึ่งส.ส.แล้ว ฉะนั้นใครจะมีที่นั่งในสภาหรือไม่อย่างไร ทั้งหมดจะอยู่ที่“ประชาชน” จะเป็นผู้ตัดสินก็เท่านั้นเอง พรรคไหนจะครองใจประชาชนได้ แน่นอน“นโยบายพรรค หัวหน้าพรรค หรือแม้กระทั่งการเสนอชื่อใครเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี”ย่อมมีความหมายทั้งสิ้น
หากประเมินรายพรรคแชมป์เก่าอย่าง“เพื่อไทย” จุดแข็งน่าจะอยู่ที่นโยบายที่มีความชัดเจน มีความเป็นตัวตนสามารถเรียกคะแนนจากประชาชนได้ ที่สำคัญนโยบายของพรรคยังครองใจชาวรากหญ้าถึงชนชั้นกลางได้อยู่ไม่น้อย เรียกว่า“ชาวบ้านยังเสพติด”
หลายคนมักพูดเสมอว่าหากจะเอาชนะพรรคเพื่อไทยให้ได้ ทำอย่างไรให้ “ลืมรักเก่า” หากยังไม่สามารถจัดการตรงนี้ได้ โอกาสที่พรรคใหม่ๆจะกวาดที่นั่งแทนพรรคเพื่อไทยอาจจะทำได้ยาก อีกทั้งยังมีคะแนนสงสารจากชาวบ้านอยู่พอสมควร ที่คนเพื่อไทยดูเหมือนจะถูกรังแกในช่วงที่ผ่านมา
แต่นั่นแหละพรรคเพื่อไทยเองก็ยังมีจุดอ่อน ในเรื่องของการ“ทุจริตเชิงนโยบาย” ที่ถูกมองว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จนกลายเป็น“ตราบาป”มาถึงวันนี้ โดยเฉพาะโครงการต่างๆที่เกิดขึ้นในยุคที่เข้ามาบริหารประเทศ
ขณะที่พรรคการเมืองเก่าแก่อย่าง“ประชาธิปัตย์” มาคราวนี้ก็บาดเจ็บสาหัสไม่ธรรมดา เพราะก่อนย้ายพรรคจะจบสิ้น พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็มี“รอยร้าว”เกิดขึ้น จากเกมการแข่งขันชิงหัวหน้าพรรค ทำเอาคนพรรคประชาธิปัตย์แตกแยกไปพอสมควร ก่อนที่จะมาลงเอยหัวหน้าพรรคคนเดิมอย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พรรคนี้ก็อยู่ในสภาพเหมือน”แก้วที่มีรอยร้าว”ไปแล้ว
จุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังจำตราตรึงอยู่ เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลกลับบริหารประเทศได้ไม่สมดั่งราคาคุยสักเท่าไหร่ ยังไม่สามารถทำงานให้โดนใจประชาชนทั้งระดับรากหญ้าและชนชั้นกลางได้ แต่อาจจะได้เปรียบจากความเป็นสถาบันที่ยังเหนียวแน่น มีสมาชิกไหลออกไม่มากนัก อาจจะไม่ได้ทำให้พรรครู้สึกหวั่นไหวสักเท่าไหร่
แต่จุดที่หลายฝ่ายประเมินกลับเห็นตรงกันว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงอาจทำให้ประชาธิปัตย์ต้องเผชิญกับจำนวนที่นั่งอาจต่ำ 100 ก็เป็นได้
ถัดมาเป็นพรรคน้องใหม่ไฟแรงอย่าง“พรรคพลังประชารัฐ” ที่ดูเหมือนเป็นพรรคเนื้อหอม สามารถใช้พลังดูดอดีตส.ส.พรรคใหญ่ๆเข้ามาอยู่ในวงล้อมได้นับร้อยคน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสามมิตร ของสมศักดิ์ เทพสุทิน กลุ่มบ้านริมน้ำ ของสุชาติ ตันเจริญ กลุ่มชลบุรี ของตระกูลคุณปลื้ม กลุ่มตระกูลอัศวเหม กลุ่มของวราเทพ รัตนากร กลุ่มเหล่านี้ล้วนเกิดจากกระแสแรงดูดทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลและปัจจัยที่ใครๆก็รู้ว่าเพราะอะไร
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ยังมีอดีตส.ส.จากพรรคต่างๆไหลเข้ามาสมทบอยู่เหมือนกัน แม้จะต้องเสียอดีตส.ส.บางคนไปให้กับพลังประชารัฐบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคภูมิใจไทยเสียสูญอะไร เพราะมีคนรุ่นใหม่ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย และดูเหมือนจะเป็นพรรคที่โดดเด่นในเชิงนโยบาย เรียกว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ ประกอบกับคนรุ่นใหม่หน้าใหม่ เข้ามาสมทบพอสมควร
ฉะนั้นจากนี้ไปพรรคไหนจะครองที่นั่งในสภาได้มากน้อยแค่ไหน “ประชาชน”เท่านั้นคือ“คำตอบ”
สิ่งที่จะต้องเผชิญจากนี้ไป นั่นคือกระแสกดดันจากพรรคการเมืองต่างๆ ต่อการใช้อำนาจในเชิงความได้เปรียบเสียเปรียบจากพรรคคู่แข่งอย่าง“พลังประชารัฐ” ที่ตอนนี้ดูเหมือนโหมออกนโยบายหาเสียงล่วงหน้าเสียเหลือเกิน จนทำให้พรรคการเมืองคู่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ยิ่งมี 4 รัฐมนตรีที่ยัง“เหยียบเรือสองแคม”ผสมโรงคอยอนุมัติโครงการหาเสียง ทุกวันอังคารในการประชุมคณะรัฐมนตรี ยิ่งทำให้พรรคการเมืองมองว่านี่คือความไม่เป็นธรรมที่กำลังคุกรุ่นขึ้นทุกขณะ ทำนโยบายหาเสียงแบบใช้งบประมาณแผ่นดิน
เอาละ..วันนี้อาจจะยังบอกไม่ได้มากนัก ความได้เปรียบที่กำลังเกิดขึ้น มันจะสะท้อนไปถึงคะแนนเสียง หรือความนิยมของชาวบ้านจริงหรือไม่ แต่กระแสที่กำลังเกิดขึ้นไปไหนมาไหนมักได้ยินเสมอนั่นคือกระแส“ความเบื่อ”
สิ่งที่ประชาชนเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ยังเป็นความรู้สึกที่“ติดลบ” กับการบริหารประเทศเสียมากกว่า ยังไม่สามารถ“มัดใจ”หรือสร้างแรง“ศัทธา”ได้
ฉะนั้นอย่าเผลอ..ถึงเวลาอาจ“ถูกเท”ก็เป็นได้ แม้จะมีพลังจากอดีตส.ส.ที่ไหลเข้ามาก็ตาม เมื่อถึงเวลาระวัง“งูเห่า”เกลื่อนสภา เพราะการเมืองบ้านเรา “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร” และนี่คือ”เกมวัดพลังย้ายขั้วสลับข้าง”ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า