Business

เพซขายมหานคร1.4หมื่นล้านต่อทุนขยายธุรกิจ  

ช่วงเช้าของวันที่ 11 เมษายน 2561 บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE และกลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ส่งข่าวการเข้าซื้อสินทรัพย์ของเพซ ดีเวลลอปเมนท์ จากกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อในนามบริษัทลูกของทั้งสองฝ่าย โดยได้ลงนามซื้อขายสินทรัพย์และโอนกรรมสิทธิ์กันไปเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561

sorapoj
นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 บริษัทฯ ได้ดำเนินการขายสินทรัพย์บางส่วน ในโครงการมหานคร ให้กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ มหานคร จำกัด คิดเป็นมูลค่าราว 1.4 หมื่นล้านบาท ตามมติของคณะกรรมการบริษัทที่อนุมัติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561

แผนการจำหน่ายสินทรัพย์ในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนธุรกิจที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าไว้ จากเดิมที่จะนำโครงการมหานคร เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการทำธุรกรรมในครั้งนี้และช่วงเวลานี้ ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกรรมในครั้งนี้ รวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มทุน ที่สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ โดยจะมีผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสภาพคล่องที่จะนำมาต่อยอดพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ ให้สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาวต่อไป

22255059 1686321434772800 5026332341388273715 o
โครงการมหานคร

นอกจากนี้ นายสรพจน์กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทยังได้อนุมัติให้เพซ เข้าซื้อหุ้นคืนจาก บริษัท อพอลโล เอเชีย สปริ้นท์ โฮลดิ้ง คอมปานี ลิมิเต็ด (อพอลโล) และโกลด์แมน แซคส์ อินเวสเมนท์ส โฮลดิ้งส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด (โกลด์แมน) ที่ถืออยู่ใน PP1 และ PP3 จำนวน 49% และ 48.7% ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 10,000 ล้านบาท (320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งทำให้เพซหมดภาระผูกพันต่อกันกับอพอลโลฯและ โกลด์แมนฯ

กระแสเงินสดใช้หนี้ลุยพัฒนา4โครงการ

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนที่จะนำกระแสเงินสดส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายสินทรัพย์ครั้งนี้ มาใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการทั้งหมดรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยสองโครงการแรกมีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้ว สามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2561 ได้แก่

  • เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก มียอดการขายแล้วรอโอน (Backlog) 3,280 ล้านบาท และห้องชุดที่รอขายอีกมูลค่าประมาณ 4,281 ล้านบาท
  • โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอด Backlog 816 ล้านบาท และมีวิลล่ารอขายมูลค่าประมาณ 3,088 ล้านบาท
  • โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90% เป็นยอด Backlog มูลค่า 6,709 ล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1,291 ล้านบาท
  • โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส มียอด Backlog มูลค่า 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2,208 ล้านบาท โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนและรับรู้รายได้ภายในปี 2562

บริษัทฯ จะนำกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกรรมครั้งนี้ รวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มทุน 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ จะมีผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสภาพคล่องที่จะนำมาต่อยอดพัฒนาธุรกิจ

หาผู้ร่วมทุน“มหาสมุทร”-ขยายดีนแอนด์ เดลูก้า

สำหรับโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน บริษัทฯ มีแผนจะหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโครงการ ด้วยการเพิ่มจำนวนห้องพักเพื่อทำเป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ ในคลับเฮ้าส์ (Health & Wellness) โดยปัจจุบัน โครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ มีสมาชิกกว่า 200 สมาชิก

ขณะที่ในส่วนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” เพซจะนำกระแสเงินสดอีกส่วนหนึ่งมาใช้ลงทุนขยายสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกา ในคอนเซ็ปต์ใหม่ภายใต้ชื่อ DEAN & DELUCA xp ส่วนสาขาในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เน้นขยายในรูปแบบคาเฟ่

ทั้งสองคอนเซ็ปต์นี้เป็นการลงทุนในรูปแบบร้านขนาดเล็ก ที่เน้นการลงทุนน้อยแต่ได้ประสิทธิผลมากขึ้น และเป็นรูปแบบที่ถูกออกแบบไว้ให้พร้อมขยายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากคอนเซ็ปต์ DEAN & DELUCA xp จะเริ่มที่มหานครนิวยอร์คเป็นแห่งแรก นอกจากนั้น ยังเน้นขายสิทธิบัตรหรือแฟรนไชส์ ให้กับผู้ประกอบการในหลายประเทศทั่วโลก

ปัจจุบัน “ดีน แอนด์ เดลูก้า” มีสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ จำนวน 30 สาขา ใน 9 ประเทศ โดยเพซ เป็นเจ้าของกิจการในสหรัฐอเมริกา จำนวน 10 สาขา ในประเทศไทยจำนวน 11 สาขา และถือหุ้น 50% ในดีน แอนด์ เดลูก้าแบบคาเฟ่ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 17 สาขา ซึ่งในปี 2560 ดีน แอนด์ เดลูก้า สามารถทำรายได้ที่ 3,142 ล้านบาท ตั้งเป้าที่จะมีกำไรจากกระแสเงินสดภายในปี 2561

Aiiyawat
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์

คิงเพาเวอร์คาดมหานครต่อยอดบูมท่องเที่ยว

ด้านนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจากทรัพย์สินต่างๆ ที่ซื้อมานั้น เป็นทรัพย์สินที่สอดคล้องกับธุรกิจที่กลุ่มคิง เพาเวอร์ ดําเนินการอยู่ และเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทย เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสําคัญ ในการสนับสนุนให้บริษัทฯตัดสินใจลงทุน 1.4 หมื่นล้านบาทในครั้งนี้ และมั่นใจว่าจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจในกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้มีความมั่งคงยิ่งขึ้น

5555

การเข้าซื้อทรัพย์สินฯ ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าถือครองทรัพย์สินในตึกมหานคร ได้แก่

  • โรงแรม
  • จุดชมวิว Observation Deck
  • ร้านค้าปลีกบริเวณพื้นที่รีเทล 4 ชั้น อาคารรีเทลมหานครคิวบ์, รวมถึงที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม

เป้าหมายสําคัญในการพัฒนาสินทรัพย์ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เข้าครอบครองในครั้งนี้ จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับสากล รวมถึงพร้อมที่จะรองรับการเติบโตของประชาคมอาเซียนในอนาคต

จากจุดแข็งของทรัพย์สินที่ได้มา ตึกมหานครเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้บริการ เช่น จุดชมวิว Observation Deck ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในประเทศไทยที่เห็นวิว 360 องศาทั้งวิวเมืองและโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และเพียบพร้อมด้วยบริการต่างๆ อีกมากมาย ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจากทั้งในและนอกประเทศ พร้อมที่จะเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สําคัญของกรุงเทพมหานครต่อไป

การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าเพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไปในอนาคต และพร้อมปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สําคัญทางเศรษฐกิจ การค้า และศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ที่สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

 

Avatar photo