Finance

‘เคทีซี’ ทุ่มกว่า 590 ล้าน ซื้อหุ้น 75.05% ‘เคทีบี ลีสซิ่ง’ สู้ศึก ‘ธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกัน’

“เคทีซี” เตรียมทุ่ม 594.396 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 75.05% ใน “เคทีบี ลีสซิ่ง” จาก “ธนาคารกรุงไทย” ตั้งเป้าขยายธุรกิจ ผงาดผู้นำธุรกิจสินเชื่อครบวงจร ทั้งสินเชื่อมีหลักประกัน และสินเชื่อไม่มีหลักประกัน รอขอมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น เม.ย. นี้ 

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 10 กุมภาพันธ์ อนุมัติให้ เคทีซี เข้าลงทุนในบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง จำกัด หรือ “เคทีบี ลีสซิ่ง” ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ในเครือธนาคารกรุงไทย ด้วยการซื้อหุ้นสามัญจำนวนทั้งสิ้น 75,050,000 หุ้น  คิดเป็น 75.05% มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาหุ้นละ 7.92 บาท คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 594.396 ล้านบาท  ซึ่งมีเงื่อนไขการปรับปรุงราคาซื้อขายหุ้นในภายหลัง ให้เป็นไปตามมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน

htc

ขณะที่ธนาคารกรุงไทย ยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 24.95% โดยจะนำเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนนี้ เพื่อขออนุมัติเข้าทำรายการดังกล่าว โดยจะต้องได้รับมติอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับคะแนนเสียงในส่วนของผู้ถือหุ้น ที่มีส่วนได้เสีย และ ธนาคารกรุงไทย จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป

“การเข้าซื้อ เคทีบี ลีสซิ่ง ในครั้งนี้ เพราะเห็นว่า เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต มีสาขาบริการตั้งอยู่ในหัวเมืองหลัก ของทุกภูมิภาคในไทย และสามารถทำธุรกิจเช่าซื้อ และลีสซิ่งทุกประเภท ซึ่งจะช่วยเติมเต็ม และสร้างโอกาส ให้เคทีซีสามารถแตกไลน์ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันได้กว้างขวาง ครอบคลุม และครบวงจรมากขึ้น ต่อ ยอดจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เคทีซี พี่เบิ้ม เพื่อให้ทำธุรกรรมได้ครบวงจร ซึ่งเคทีซีได้เริ่ม เบนเข็มทำธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกันเมื่อปลายปี 2563 ที่ผ่านมา”

นายระเฑียร กล่าวด้วยว่า การเข้าลงทุนในเคทีบี ลีสซิ่ง จะทำให้บริษัทได้มาซึ่งฐานลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง และพันธมิตรธุรกิจ ที่จะก่อให้เกิดการผนึกกำลังสำคัญ ประกอบกับจุดแข็งของเคทีซี ในการบริหารจัดการต้นทุน การบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ และการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ

รวมถึง ศักยภาพของทีมบริหาร บุคลากร และผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ จะเอื้อประโยชน์ให้ สามารถพัฒนาองค์ความรู้ของทั้ง 2 องค์กรเข้าด้วยกัน เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตแข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับบริษัท และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มภายหลังจากการเข้าถือหุ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo