Politics

เปิดผลสอบอดีตบิ๊ก ‘APRC’ อมเงินบริจาค

APRF เปิดผลสอบพบมีมูล อดีตเลขาธิการคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย (APRC) ยักยอกเงินบริจาคจากนักธุรกิจจีน เดินหน้าฟ้องร้องกองปราบ-ดีเอสไอ

aprf 1

มูลนิธิเพื่อสันติภาพ และความปรองดองเอเชีย (APRF) ได้ออกแถลงการณ์ถึงความคืบหน้าล่าสุดในการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการยักยอกเงินจากมูลนิธิว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ที่แต่งตั้งโดย ดร.เตช บุนนาค ประธาน APRF ได้จัดทำรายงานการสอบข้อเท็จจริงฉบับสุดท้าย เสนอประธาน และคณะกรรมการมูลนิธิ APRF เมื่อวันที่ 13 กันยายน โดยระบุว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้เชิญบุคคลต่างๆ เพื่อมาพบ และให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เพื่อพบกับประธาน และเลขานุการของบริษัทแห่งหนึ่งของจีน ที่เคยแสดงเจตจำนงที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ APRF

แต่อดีตเลขาธิการคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย (APRC) และบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารไอซีบีซี ที่ใช้รับโอนเงินบริจาคสำหรับมูลนิธิ และเงินหายไป ไม่ได้มาพบ และให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการแต่อย่างใด 

รายงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้รายละุเอียดว่า ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธาน APRC มีโอกาสรับทราบข้อมูลจากประธานบริษัทจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ได้ตกลงที่จะให้การสนับสนุนการเงินแก่กิจกรรมต่างๆ ของ APRC ว่า เขาได้มอบเงินเพื่อการดังกล่าวแล้ว เริ่มด้วยการโอนเงินจำนวน 15,000 ดอลลาร์ เข้าไปยังบัญชีธนาคารไอซีบีซี สาขาในกรุงเทพฯ ของสตรีรายหนึ่ง ที่ทางบริษัทได้รับแจ้งจากทางอดีตเลขาธิการฯ ว่าเป็นบัญชีของเจ้าหน้าที่การเงิน APRC เมื่อเดือนธันวาคม 2560

ต่อมาได้รับการติดต่อให้มอบเงินสนับสนุนในลักษณะเป็นเงินสดแก่อดีตเลขาธิการฯ แทนการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งเขาได้มอบเงินสดให้กับอดีตเลขาธิการฯ อีกหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 ระหว่างการพบกันของ 2 ฝ่าย ทั้งที่ดูไบ กรุงเทพฯ และกรุงปักกิ่ง

อย่างไรก็ตาม ทั้ง APRC และ มูลนิธิ APRF ไม่เคยได้รับรู้ถึงการรับมอบเงินดังกล่าว และไม่เคยมีการโอนเงินใดๆ จากบัญชีดังกล่าวมายังบัญชีของมูลนิธิแต่อย่างใด ทั้ง APRC ก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่การเงินชื่อดังกล่าว หรือรู้จักกับเจ้าของบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด

นอกจากนี้ อดีตเลขาธิการฯ ยังแจ้งต่อประธาน APRC ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 ว่า เขาติดต่อกับประธานบริษัทผู้นี้ไม่ได้เลย และอ้างสาเหตุว่า น่าจะเป็นไปได้ที่ประธานบริษัทผู้นี้อาจถูกรัฐบาลจีนขึ้นบัญชีดำ

จนกระทั่งในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จึงได้มีความพยายามหาช่องทางติดต่อกับประธานบริษัทผู้นี้อีกครั้ง โดยไม่ได้อาศัยช่องทางของอดีตเลขาธิการฯ อย่างที่ผ่านมา จนนำไปสู่การนัดหมายพบกันอีกครั้งระหว่างประธาน APRC และประธานบริษัทผู้นี้ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า ประธานบริษัทผู้นี้มิได้ถูกทางการจีนขึ้นบัญชีดำ ตามการกล่าวอ้างแต่อย่างใด

การพบกันดังกล่าว ทำให้ได้รับทราบว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประธานบริษัทไม่เคยได้รับทราบเลยว่า อดีตเลขาธิการฯ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 แล้ว และเชื่อมาตลอดว่าเงินสนับสนุนทั้งหมดที่มอบผ่านอดีตเลขาธิการฯ ผู้นี้ ได้ไปถึง APRF เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของ APRC

ในการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แม้จะมีส่งหนังสือเชิญให้มาพบเพื่อให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่อดีตเลขาธิการฯ ก็ไม่ได้ติดต่อกลับมายังคณะกรรมการ หรือให้ความร่วมมือ หรือมาพบกับคณะกรรมการฯ เพื่อให้ข้อมูลในเรื่องนี้แต่อย่างใด

คณะกรรมการ APRF ได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดแล้ว เชื่อว่าได้มีการกระทำบางอย่างที่ส่อว่ามีการเบียดบังยักยอกเงินที่บริจาคให้กับทางมูลนิธิ จึงมมีมติให้มูลนิธิดำเนินการทางกฎหมายที่จำเป็น

ทาง APRF ได้เข้าแจ้งความกับกองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และทำหนังสือร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา 

 

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight