กลุ่ม “ทิสโก้” แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2563 กำไร สุทธิ 1,612 ล้านบาท ลดลง 14.2% ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 4,427 ล้านบาท หรือลดลง 18.1%
ผลการดำเนินงานของ กลุ่ม ทิสโก้ หรือ TISCO ในไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทมี กำไร สุทธิจำนวน 1,612 ล้านบาท ลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2562 เป็นไปตามการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากการระบาดของโควิด-19
โดยรายได้รวมลดลงเล็กน้อย แต่รายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวลดลงอย่างมากที่ 14.1% จากธุรกิจธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก ทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกันภัยและค่าธรรมเนียมจากเงินให้สินเชื่อ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ลดลง
สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) มีจำนวน 605 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้า เป็นไปตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการตั้งสำรองล่วงหน้าไปแล้วบางส่วน ตามมาตรฐานบัญชี TFRS 9
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 กำไรสุทธิของ ทิสโก้ มีจำนวน 4,427 ล้านบาท ลดลง 18.1% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2562 สาเหตุมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจจัดการกองทุนยังคงมีการเติบโตได้ดี ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และการออกกองทุนที่หลากหลายในสภาวะตลาดทุนผันผวน
ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า สะท้อนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ 15.3%
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีจำนวน 224,900 ล้านบาท ลดลง 1.4% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการชะลอตัวของสินเชื่อทุกภาคธุรกิจตามภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังและเข้มงวดมากขึ้นตามความเสี่ยงที่สูงขึ้น
ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.6% และมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 196%
ธนาคาร ทิสโก้ ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 22.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.0% และ 4.6% ตามลำดับ
นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2563 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศตามการผ่อนคลายของมาตรการปิดเมืองและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม ทิสโก้ ในไตรมาส 3/2563 เทียบกับไตรมาส 2/2563 เพิ่มขึ้น 21.2%
“ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤต Covid-19 ในครั้งนี้มีความรุนแรง อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมาฟื้นตัวในระดับปกติ ดังนั้น สิ่งที่ทิสโก้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ก็คือการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและบริหารจัดการความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพที่สุด โดยคุณภาพสินเชื่อเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังต้องติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง”
สิ่งที่น่ากังวลจากนี้คือ การว่างงานและรายได้ที่ลดลง ที่อาจกระทบกับกำลังการใช้จ่าย ความสามารถในการชำระหนี้ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตให้ยากลำบากขึ้น และเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ในไตรมาสนี้ทิสโก้จึงยังคงตั้งสำรองหนี้ในระดับสูงเช่นเดิม อย่างไรก็ดี ทิสโก้ยังคงดำรงอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่แข็งแกร่งที่ 22.6% พร้อมกับระดับเงินสำรองที่สูงมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ล่าสุด คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการร่วมสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาและอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสมาคมธนาคารไทย ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ศรษฐกิจไทยปี 2563 ว่า อาจหดตัวในกรอบติดลบ 9.0% ถึงติดลบ 7.0%
ขณะที่ กกร. ปรับประมาณการการส่งออกในปี 2563 หดตัวในกรอบติดลบ 10.0% ถึงติดลบ 8.0% ดีขึ้นจากเดิมที่ติดลบ 12.0% ถึงติดลบ 10.0% เนื่องจากการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 3 หดตัวน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ในกรอบติดลบ 1.5% ถึงติดลบ 1.0%
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ตลาดหุ้นส่อร่วงอีก! ‘ทิสโก้’ เตือน 2 ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก
- ‘สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด’ คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ดิ่งหนัก สั่งจับตาการเมืองใกล้ชิด!
- โควิดฉุดรายได้หด! เสี่ยงธุรกิจ ‘ซมไข้ยาวนาน’ ถึงปี 2565