Economics

แจกเงิน 3000 บาท ‘กระทรวงการคลัง’ แจงชัดทำไมไม่ให้เงินสด!

แจกเงิน 3000 บาท “กระทรวงการคลัง” แจงชัดทำไมโครงการ “คนละครึ่ง” ไม่จ่ายเงินสด พร้อมพิจารณาขยายสิทธิ์เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 ล้านคน หากโครงการนี้จะได้รับความนิยมจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากโครงการ “คนละครึ่ง” แจกเงิน 3000 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยจะให้วันละ 100 เป็นเวลา 3 เดือน ตามระยะเวลาโครงการที่จะเริ่มให้ใช้สิทธิตั้งแต่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งจะเริ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ ในเวลา 06.00 น. ของวันที่ 16 ตุลาคมนี้ โดยจำกัดสิทธิ์เพียง 10 ล้านคนนั้น

อย่างไรก็ตาม ประชาชนหลายคนเกิดคำถามว่า ทำไมไม่แจกเป็นเงินสด หรือ โอนเข้าบัญชี แทนการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพราะบางคนไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเตอร์เน็ตด้วย และการใช้จ่ายผ่าน แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ต้องเติมเงินเข้าระบบ ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร

แจกเงิน 3000

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวกับ TNN ช่อง 16 โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวต้องการให้เกิดการเพิ่มกำลังซื้อในส่วนของเครื่องอุปโภค บริโภค ร้านอาหาร ร้านขนาดเล็กในชุมชนต่างๆ ร้านโชว์ห่วย จะไม่มีร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้เม็ดเงินกระจายสู่ร้านค้าผู้ประกอบการขนาดเล็ก

ทั้งนี้ เงื่อนไข “คนละครึ่ง” คือ ผู้ได้รับสิทธิจะต้องจ่าย 50% และรัฐจะช่วยอีก 50% ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” แต่มีข้อแม้ว่าในแต่ละวันจะใช้ได้ไม่เกิน 100 บาทต่อคนต่อวัน ทยอยใช้ทุกวันจนครบ 3,000 บาทต่อคน ตามระยะเวลาโครงการที่จะเริ่มให้ใช้สิทธิตั้งแต่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563

หมายความว่า หากผู้ได้รับสิทธิใช้จ่าย 200 บาทในวันนี้ จะจ่ายเพียง 100 บาท เพราะรัฐจะสนับสนุนอีก 100 บาท โดยจะสมทบให้กับร้านค้าในวันถัดไป แต่หากซื้อสินค้าเกินเป็น 300 บาท ผู้มีสิทธิจะต้องจ่าย 200 บาท เพราะรัฐกำหนดเงินช่วยเหลือสมทบเพียง 100 บาท

ส่วนการที่บางคนไม่มีโทรศัพท์ หรือ ไม่สามารถโหลดแอปฯ มาได้นั้น ยอมรับว่าเป็นข้อจำกัด แต่ถ้าอยากให้โครงการนี้ตอบโจทย์ว่าเม็ดเงินลงไปสู่ผู้ประกอบการขนาดเล็กจริงๆ จึงต้องขอใช้ระบบ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” เพราะไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถกำหนดได้เลย สมมติให้เป็นเงินสด รัฐบาลจะไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า การใช้จ่ายจะลงไปที่กลุ่มคนกลุ่มไหน และร้านค้าประเภทไหน ซึ่งการดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่นสามารถตรวจสอบได้ และ กำหนดได้ว่าผู้รับเป็นร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น

กรณีที่มีคนสนใจร่วมโครงการมากกว่า 10 ล้านคน จะขยายสิทธิ์หรือไม่นั้น เชื่อว่า รัฐบาลจะพร้อมพิจารณาถ้าโครงการนี้จะได้รับความนิยมจากประชาชน ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากมีประชาชนเข้าร่วมโครงการทั้ง 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน

2. ประชาชนทั่วไปสัญชาติไทย

ลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com จำนวนทั้งสิ้น 24 ล้านคน เม็ดเงินในฝั่งที่รัฐบาลจ่ายสมทบจำนวน 51,000 ล้านบาท ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ประชาชนจะเป็นผู้จ่ายอีก 30,000 ล้าน จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานราก คือ ร้านค้าขนาดเล็กในชุมชน 81,000 ล้านบาท ของช่วงปลายปี 63 ส่วนจีดีพี คาดว่าจะเพิ่มประมาณ 0.25%

แจกเงิน 3000

นายลวรณ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ระบบการลงทะเบียนและการใช้เงิน “คนละครึ่ง” จะทำได้เวลา 06.00 – 23.00 น. ของทุกวัน เพราะระบบต้องหยุดเพื่อประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะการจ่ายเงินให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต่อไป โดยโครงการนี้ผู้ได้สิทธิ์ต้องจ่ายเงินชำระสินค้าผ่าน แอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งผู้ได้สิทธิ์ก็ต้องเตรียมเงินไว้ให้เพียงพอกับซื้อสินค้าด้วย ไม่สามาระชำระเป็นเงินสด เพื่อป้องกันการทุจริต” นายลวรณ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้สิทธิ์แล้ว จะต้องเริ่มใช้เงินภายใน 14 วัน หลังจากได้รับ SMS หากไม่ใช้เงินระบบจะตัดชื่อออก เพื่อให้คนอื่นเข้ามาจองสิทธิ์ใหม่ โดยผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ยังสามารถมาลงทะเบียนใหม่ได้ โดยโครงการนี้ต้องการให้เกิดการใช้จ่ายจริง ๆ ไม่ต้องการให้มีการของกักสิทธิ์ของผู้อื่นที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ

ในส่วนของร้านค้าที่ต้องเข้าร่วมโครงการ จะเป็นร้านหาบเร่ แผงลอย ร้านค้าขนาดเล็ก ไม่ใช่ร้านค้าขนาดใหญ่ที่เป็นนิติบุคคล และ ร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ส่วนกรณีของแฟรนไชส์ เช่น ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว สามารถเข้าโครงการได้ เพราะถือว่าผู้ที่ขายจริงเป็นบุคคลธรรมดา

“สศค. อยากประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทุกราย มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่ควรทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะระบบจะตรวจสอบความผิดปกติได้ เช่น ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเคยขายของได้วันละ 2 หมื่นบาท แต่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เป็น 2 แสนบาท และมีความถี่ของการขายผิดปกติ สศค. ก็จะส่งลงไปตรวจสอบหากพบการกระทำผิด ก็ตัดชื่อออกจากโครงการ” นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า นอกจากการ แจกเงิน 3000 บาท ให้กับประชาชน 10 ล้านคน แล้ว รัฐบาลยังช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการโดยให้วงเงินซื้อสินค้าเพิ่มอีกเดือนละ 500 บาท จากที่ได้รับเดือนละ 200 กับ 300 บาท ก็จะได้รับเดือนละ 700 บาท กับ 800 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2563 หรือเท่ากับได้เงินเพิ่มอีก 1,500 บาท เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าคนกลุ่มนี้เข้าถึงเทคโนโลยีลำบาก ทำให้ไม่สะดวกที่จะไปจองสิทธิรับเงิน 3,000 บาท จึงให้ความช่วยแยกออกเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo