คดี บอส อยู่วิทยา “ศรีสุวรรณ จรรยา” ชี้ คำสั่งอัยการกรณีไม่ฟ้อง ส่อไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ยกคดี “เสี่ยเบนซ์” เมาชน “รอง ผกก.เสียชีวิต” อัยการกลับอุทธรณ์สู้จนถึงที่สุด
นาย ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงยืนยันว่า พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง “นายวราวุธ อยู่วิทยา” หรือ บอส ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้ว และดำเนินการเพิกถอนหมายจับต่อไปนั้น
คดีดังกล่าว ถูกสังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ถึงการใช้อำนาจที่อาจเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ ในการสั่งคดีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจเพราะผู้ถูกกล่าวหา เป็นทายาทของผู้มีสถานะทางสังคมที่สูง เป็นทายาทนักธุรกิจที่ร่ำรวยในลำดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งเหตุแห่งคดี ไม่ได้มีข้อยุ่งยากในการสืบสวนสอบสวนแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ต้องหาในคดีที่มีลักษณะเดียวกัน เช่น คดีเสี่ยเบนซ์เมาชน รอง ผกก.เสียชีวิต อัยการกลับอุทธรณ์สู้จนถึงที่สุด แม้จำเลยจะชดใช้ดูแลบุตรผู้ตายแล้ว 45 ล้านก็ตาม แต่ทว่าคดีที่ผู้ตายมียศเพียงแค่ดาบตำรวจ ผลการสั่งคดีกลับแตกต่างกัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการใช้แทกติกในการทำสำนวนคดี หรือ ประวิงเวลา
แต่เมื่อมีการประวิงเวลา จนทำให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปยังต่างประเทศ และตำรวจไม่สามารถนำตัวมาส่งให้อัยการ ยื่นฟ้องต่อศาลได้ ทำให้ฐานความผิดอย่างน้อย 4 ข้อหาขาดอายุความไปแล้ว
ส่วนข้อหาสุดท้าย คือ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีอายุความ 15 ปี อัยการกลับมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง และตำรวจก็มิได้ทำความเห็นแย้งคัดค้านแต่อย่างใด จึงถือเป็นข้อพิรุธที่สำคัญ ที่นายกรัฐมนตรีควรใช้อำนาจตาม ม.11(6) แห่งพรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 ในการตั้งกรรมการมาสอบอัยการและตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะอ้างว่านายกฯ ไม่ได้เป็นผู้แต่งตั้งอัยการแล้ว จะสั่งให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจของอัยการมิได้นั้น หาชอบด้วยกฎหมายไม่
แต่ประเด็นการสั่งคดีนี้ของอัยการนั้น แม้รัฐธรรมนูญ 2560 ม.248 วรรคสอง จะให้ความเป็นอิสระของอัยการในการพิจารณาสั่งคดี แต่ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ไปโดยรวดเร็ว เที่ยงธรรม ปราศจากอคติทั้งปวง แต่การประวิงเวลาการสั่งคดีมาจนกว่า 8 ปีย่อมถือได้ว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว
อีกทั้งตาม พรบ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ 2553 ม.21 วรรคสอง ประกอบระเบียบสํานักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของอัยการ 2547 กำหนดให้อัยการต้องทำหน้าที่ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชน และระเบียบฯ ว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือ จะมีผลประโยชน์อันสําคัญของประเทศ 2554 ได้กำหนดไว้ว่า คดีอาญาที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศให้เสนอต่ออัยการสูงสุดเพื่อมีคำสั่ง
“กรณีของบอส อยู่วิทยา ความปรากฏว่าอัยการสูงสุดไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด จึงชี้ให้เห็นว่า คำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบอสในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าว” นายศรีสุวรรณ ระบุ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ระบุว่า เรื่องอัยการสั่งไม่ฟ้อง “นายวรวุทธ อยู่วิทยา”
เรื่องอัยการไม่ฟ้อง “ลูกกระทิงแดง” นี่ อัยการสรุปว่า เป็นความประมาทของตำรวจ (ผู้ตาย) เพียงฝ่ายเดียว เพราะตำรวจ (ผู้ตาย) ขับรถจักรยานยนต์ ตัดหน้ารถยนต์ลูกกระทิงแดงอย่างกระทันหัน ตอนแรกอัยการสั่งฟ้อง แต่หลังจากพิจารณามานานถึง 8 ปี ก็กลับคำสั่งเดิมเป็น “สั่งไม่ฟ้อง”
ด้วยเหตุผล หลักๆ คือ เหตุที่สั่งฟ้องในตอนแรกเพราะ พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วให้การว่า ลูกกระทิงแดงขับรถด้วยความเร็ว 177 กม./ชม. แต่หลังจากนั้น เมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ได้ให้การใหม่เมื่อ 2 มีนาคม 2557 ว่า ได้คำนวณใหม่แล้ว ความเร็วรถลดลงเหลือเพียง 79 กม./ชม.
และได้มี พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียน, พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย และ รศ.ดร.ลายประสิทธิ เกิดนิยม (ให้การเมื่อ 23 มกราคม 2560 หลังเกิดเหตุถึง 5 ปี) ว่า รถยนต์ของนายวรวุทธ อยู่วิทยา ไม่น่าจะขับ 177กม./ชม. แต่น่าจะขับเพียง 76 กม./ชม.
จะเห็นว่า เมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม ความเร็วของรถลดลงประมาณ 100 กม./ชม. เหลือเพียง 76 กม./ชม. และอัยการก็เชื่อตามนั้น
ผมมีข้อโต้แย้ง (ทางวิชาการ) ต่อคำสั่งของอัยการ ดังต่อไปนี้
ข้อโต้แย้งประการที่ 1 ผมไม่เชื่อความเห็นของพยานที่ให้การกลับคำในภายหลัง และไม่เชื่อคำให้การของพยาน ที่ให้การหลังเกิดเหตุหลายปี ที่ให้การแตกต่างกันในเรื่องความเร็วรถถึง 100 กม./ชม. ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง มาพิสูจน์ว่า ความเร็วรถ ว่าน่าจะ 177 กม./ชม หรือ 76 กม./ชม. หากเป็น 177 กม./ชม. พยานที่ให้การในตอนหลังว่า 76 กม./ชม. ก็น่าจะมีปัญหาแล้วล่ะครับ
ตอนนี้น่าจะครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ไอ ก็จาม อยู่ล่ะครับ ประการสำคัญคือ ใน กทม. เขาจำกัดความเร็วรถยนต์ไม่เกิน 80 กม/ชม. ที่พยานให้การตอนหลังว่า 76 กม./ชม. จะเป็นการให้การเพื่อให้สอดคล้องกับการจำกัดความเร็วไม่เกิน 80กม./ชม.หรือเปล่า
ข้อโต้แย้งประเด็นที่ 2 ผมเห็นว่า สภาพรถยนต์หลังเกิดเหตุ ยับเยิน กระโปรงหน้ายุบ กระจกหน้าแตก น้ำมันเครื่องไหลเป็นทาง รถยนต์คันนี้ ราคาจำหน่ายในประเทศไทย คันละ 32 ล้านบาท ถ้ารถราคา 32 ล้านชนด้วยความเร็ว 80 กม/ชม. สภาพรถยับเยินขนาดนี้ เสียชื่อผู้ผลิตหมดครับ
ข้อโต้แย้งประการที่ 3 จากจุดชนจุดแรก ถึงจุดที่รถจักรยานยนต์ผู้ตายไปตกอยู่ห่างกัน 163.6 เมตร หากความเร็วรถยนต์ 76 กม./ชม. น่าจะหยุดรถได้เร็วกว่านั้น ไม่น่าจะลากยาวไปถึง 163.6 เมตร
ข้อโต้แย้งประการที่ 4 ผมไม่ให้น้ำหนักพยานบุคคลอีก 2 คน ที่มาให้การเมื่อ 4 ธันวาคม 2562 หลังเกิดเหตุถึง 7 ปี ว่า พยานขับรถตามหลังรถลูกกระทิงแดง และเห็นว่า ลูกกระทิงแดงขับไม่เกิน 80 กม/ชม.
น่าสงสัยว่า พยาน 2 ปากนี้ รออะไรอยู่ถึง 7 ปี จีงเข้าให้การ และเป็นการให้การก่อนที่อัยการจะสั่งไม่ฟ้องไม่กี่เดือน เป็นพิรุธอย่างยิ่ง ครับ
กล่าวโดยสรุป เรื่องนี้ ต้องทำให้ชัดปราศจากข้อสงสัย ไม่งั้นกระบวนการยุติธรรมของประเทศพังครับ แล้วประเทศจะพังไปด้วยครับ เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ค่อยๆอ่าน พักกินกาแฟกันก่อน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘นิพิฏฐ์’ เปิดข้อโต้แย้งประเด็น ‘บอส อยู่วิทยา’ ลั่นหากไม่ชัดประเทศพังแน่!
- ‘ผบ.ตร.’ ตั้ง ‘พล.ต.อ.ศตวรรษ’ สอบคดี ‘บอส อยู่วิทยา’
- เปิดรายชื่อ 7 คณะทำงาน ‘อัยการสูงสุด’ สอบปมสั่งไม่ฟ้อง ‘บอส กระทิงแดง’