Economics

บีซีพีจีประกาศกำไรไตรมาส 2 พุ่ง 419 ล้าน

บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 มีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าประมาณ 874 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.0 % เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 ในขณะที่ EBITDA ไตรมาสนี้ อยู่ที่ 670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1%  เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 419 ล้านบาท

bc1

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่บีซีพีจี  เปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทมีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากการจำหน่ายไฟ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทย่อย

บริษัทมีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 874 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.0% จากไตรมาสแรกของปีนี้ แม้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าจะลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สาเหตุเกิดจากความเข้มของแสงในไตรมาสที่ 2/2561 ลดลงทั้งในไทย และญี่ปุ่น

สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเป็นจำนวน 19 ล้านบาท ลดลง 50 ล้านบาท หรือ 72.5%  เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการทำรีไฟแนนซ์โครงการที่อินโดนีเซียเพื่อขยายเวลาการชำระหนี้และเพิ่มกระแสเงินสดให้ดีขึ้น โดยจะมีการบันทึกเพียงครั้งเดียวในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวยังเป็นไปตามปกติ

ทั้งนี้ บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 66.7 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expense) ลดลง 8%  จากไตรมาสที่แล้ว และลดลง 27.2%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 419 ล้าน

ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2561 กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 33,388 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.8%  เทียบกับสิ้นปี 2560 สำหรับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 18,206 ล้านบาท (หากเป็นหนี้สินรวมเท่ากับ 19,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4) หรือเพิ่มขึ้น 6.9%  เทียบกับสิ้นปี 2560 และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.32 เท่า ณ สิ้นไตรมาส เพิ่มขึ้นล็กน้อยจาก 1.23 เท่า ณ สิ้นปี 2560

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 บริษัทยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปภัมภ์ (อผศ.) ของบริษัท ที่จังหวัดสระบุรีและกาญจนบุรี ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และเริ่มรับรู้รายได้ด้วยอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่ 8.94 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกัน โครงการนำร่องที่ T77 ของการซื้อขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ตแบบ Peer-to-Peer ที่ทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท Power Ledger จากประเทศออสเตรเลีย จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปลายเดือนสิงหาคมนี้

ส่วนการขยายธุรกิจยังคงเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ ขณะที่การเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ การร่วมทุน หรือการลงทุนใหม่นั้น บริษัทยังให้ความสนใจในธุรกิจพลังงานสะอาดทุกรูปแบบที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของบริษัท โดยใช้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นของโครงการ (EIRR) ในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการที่จะลงทุน โดย EIRR นั้นต้องอยู่ในช่วง 12 – 15%

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight