“ครม.นัดพิเศษ” ไฟเขียวหลักการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 นาน 6 เดือน วงเงิน 1.6 ล้านล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณ ไม่ได้กู้ทั้งหมด คาดเสนอ ครม. ใหญ่ให้เห็นชอบรายละเอียดได้สัปดาห์หน้า
วันนี้ (3 เม.ย.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกันแถลงมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เฟสที่ 3 ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ได้นำเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เฟสที่ 3 ให้ที่ประชุม ครม. นัดพิเศษเห็นชอบในหลักการ
การดำเนินมาตรการเฟสที่ 3 ต้องใช้วงเงิน 10% ของจีดีพี บวกลบไม่มาก และครอบคลุมระยะเวลา 6 เดือน โดยมาตรการนี้จะแบ่งการดูแลออกเป็น 3 ส่วนคือ ประชาชนและธุรกิจซึ่งยังขาดการดูแล เพื่อให้ครอบคลุมครอบทุกด้าน, สภาพคล่องของเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหยุดชะงักในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า และภาคการเงิน
หลังจากวันนี้ กระทรวงการคลังและ ธปท. ต้องไปพิจารณาแหล่งเงินทุนอีกครั้ง เพราะวงเงินดำเนินมาตรการส่วนหนึ่งต้องมาจากงบประมาณ เพื่อให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยวันนี้ก็มีการหารือเรื่องการโยกงบประมาณของกระทรวงต่างๆ 10% เพื่อนำมาใช้ดูแลเศรษฐกิจ และวงเงินอีกส่วนหนึ่งก็ต้องมาจากการกู้ยืม
โดยถ้าหากสรุปรายละเอียดของมาตรการและวงเงินได้เร็ว ก็จะเร่งนำเสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาเห็นชอบในวันที่ 7 เมษายน 2563 ซึ่งมาตรการนี้จะสร้างความมั่นใจให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจว่า ประเทศไทยจะก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปได้
“ที่เหลือที่งบประมาณไม่สามารถที่จะทำได้ ก็จะมีการจะกู้ยืม โดยเป็นการกู้ยืมโดยกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาใช้หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจ ดูแลประชาชน และอีกส่วนเป็นการออก พ.ร.ก. ให้แบงก์ชาติออก Soft Loan ได้ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนของระบบการเงิน ไปดูแลผู้ประกอบการ แต่จะเท่าไหร่ เป็นยังไง ก็ต้องรอให้ผ่าน ครม. ก่อน” นายสมคิดกล่าว
- ‘บิ๊กแดง’ สั่งเตรียมรับมือกองทัพถูกตัดงบ หลังโควิดระบาดกระทบเศรษฐกิจ
- ‘สมคิด’ รับเศรษฐกิจเริ่มหยุดนิ่ง จ่อออก ‘พ.ร.ก.กู้เงิน’ 2 แสนล้านช่วยพยุง
- เอดีบีชี้ ‘โควิด-19’ สาเหตุหลักทำ ศก.ไทยปี 63 ติดลบ 4.8% เอเชียโต 2.2%
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดชุดมาตรการเป็นกลุ่มก้อน เริ่มจากการดูแลภาคประชาชน กลุ่มเกษตรกร ซึ่งถึงจุดนี้อาจจะยังไม่ได้รับการดูแล ด้านผู้ประกอบการ ลูกจ้างในระบบประกันสังคม อาชีพอิสระ ลูกจ้างชั่วคราว เราดูแลแล้วและจะดูแลต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะลดภาระการผ่อนสินเชื่อเพิ่มเติมจากมาตรการของ ธปท. ที่ออกมาก่อนหน้านี้ คือ ในส่วนของสถานบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Bank) เพราะมีประชาชนใช้บริการขอสินเชื่อจำนวนมาก โดยหวังให้ประโยชน์สุดท้ายตกไปถึงประชาชนและผู้ประกอบการได้รับการดูแลด้วย
ด้านการดูแลโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จะครอบคลุมถึงงบประมาณในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 สาธารณสุข และงบประมาณอื่นที่เกี่ยวข้อง อีกส่วนคือการดูแลเศรษฐกิจในพื้นที่ (Local Economy) เพราะแรงงานกลับสู่พื้นที่จำนวนมาก “เมื่อเหตุการณ์ดีขึ้นแล้วสภาพธุรกิจ การทำธุรกิจ ก็อาจจะเปลี่ยนไป” ประชาชนไม่น้อยก็ยังอยู่ในพื้นที่ จึงต้องดูแลทันที และต้องเสริมสร้างอาชีพ โอกาส ทักษะใหม่ๆ ให้ประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง รวมถึงมีแนวความคิดจะดูแลเรื่องการลงทุนของภาครัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมทั่วประเทศ
ด้านผู้ประกอบการ ภาระใหญ่ข้อหนึ่ง คือภาระที่เกิดจากการกู้ยืม ให้มีสภาพคล่องเพียงพอ ซึ่งก็จะมีมาตรการชุดเพิ่มเติมจากเฟส 1 และเฟส 2 ที่ออกไปแล้ว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการของธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มาตรการชุดที่ผ่านมา ธปท. ได้ทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์เพื่อเน้นดูแลลูกค้าประชาชนรายย่อย พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ตามมาด้วยกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) อีกชุด แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่แน่นอนและอาจขยายวงกว้างมากขึ้น จึงต้องขยายมาตรการมากขึ้น
ธปท. จึงเสนอ ครม. ขอความเห็นชอบในหลักการ การออก พ.ร.ก.เพื่อให้ ธปท. สามารถปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ด้วยเงินของตัวเองได้โดยตรง เหมือนกรณีวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ปี 2555 โดยโครงการนี้จะใหญ่กว่าโครงการของธนาคารออมสินที่ผ่านมา แต่รายละเอียดของมาตรการนี้และ พ.ร.ก. ต้องรอให้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ก่อนจึงสามารถเปิดเผยได้
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต. )และ ธปท. จะร่วมกันพิจารณากลไกสำคัญเพื่อดูแลตลาดตราสารหนี้เอกชน ที่ปัจจุบันมีขนาดใหญ่ถึง 3.5 ล้านล้านบาท เทียบกับสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยให้ภาคเศรษฐกิจขนาด 14 ล้านล้านบาท
เนื่องจากตลาดตลาดสารหนี้เอกชนในปัจจุบันครอบคลุมประชาชนและองค์กรหลากหลาย เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้, สหกรณ์, ประกันสังคม, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และธุรกิจจำนวนมาก แต่ขณะนี้ตลาดตราสารหนี้โลกมีสถานการณ์ไม่ดีนักและมีความไม่แน่นนอน
ธปท. จึงขออนุมัติหลักการ ครม. เพื่อสร้าง “หลังพิง” ให้ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนสามารถดำเนินต่อไปได้ ด้วยการออก พ.ร.ก. ให้อำนาจ ธปท. สามารถซื้อตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี ซึ่งถึงกำหนดชำระเงินกู้เดิมและออกใหม่ (Roll Over) ได้
นอกจากนี้ ธปท. จะขยายเวลาการลดอัตราการคุ้มครองเงินฝากออกไปก่อน จากเดิมอัตราการคุ้มครองเงินฝากจะลดลงจาก 5 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคม 2563 ก็ให้เลื่อนเป็นเดือนสิงหาคม 2564 แทน เพื่อลดความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แต่ขอยืนยันว่าขณะนี้สถาบันการเงินของไทยมีความมั่นคงดีมาก
นอกจากนี้ ธปท. จะลดการนำส่งเงินสมทบของธนาคารพาณิชย์ เข้ากองทุนเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) ซึ่งนำไปใช้หนี้วิกฤติต้มย้ำกุ้งปี 2540 จากปัจจุบันอัตรา FIDF Fee อยู่ที่ 0.46% ก็ให้ลดเหลือ 0.23% เป็นเวลา 2 ปี
เนื่องจาก FIDF Fee เป็นต้นทุนที่ค้ำธนาคารพาณิชย์อยู่ แม้ ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายไป 2 ครั้ง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ธนาคารพาณิชย์ก็ยังส่งต่อดอกเบี้ยนโยบายได้ไม่มากนัก จึงหวังว่าเมื่อ ธปท. ลดอัตราการนำส่ง FIDF Fee แล้ว สถาบันการเงินจะสามารถปรับลด “อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง” ที่ภาคธุรกิจและประชาชนใช้กู้เงินลงได้อีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจีดีพีประมาณ 16 ล้านล้านบาทต่อปี เพราะฉะนั้นวงเงินที่รัฐบาลจะใช้ในมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เฟสที่ 3 จะมีมูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท