ย่างเข้าสู่ 86 ปี ในปีนี้สำหรับบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อ สันติ ภิรมย์ภักดี ที่นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่มาตั้งแต่ปี 2542 ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และแต่งตั้ง จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ขึ้นเป็น กรรมการผู้จัดการใหญ่ แทน
บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เผยว่า คณะกรรมการบริษัทบุญรอดฯ มีมติแต่งตั้ง “สันติ ภิรมย์ภักดี” ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร คุมนโยบายบริหาร ทิศทาง และเป้าหมายธุรกิจในกลุ่มบุญรอดฯ โดย “นายวุฒา ภิรมย์ภักดี” ประธานกรรมการบริษัทฯ เป็นผู้ลงนาม ซึ่งการปรับตำแหน่งใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563
พร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ขึ้นดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ จากเดิมตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
สำหรับโครงสร้าง ผู้บริหารของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ประกอบด้วย นายวุฒา ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ, นายปิยะ ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการ, นายวาปี ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการ, นายสันติ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริหาร, นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่, นายโรจน์ฤทธิ์ เทพาคำ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่, นายพลิษศร์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่, นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการ, นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ และนายวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการ
สำหรับ นายจุตินันท์ เป็นเจนเรนอเรชั่นที่ 3 ของตระกูลภิรมย์ภักดี รุ่นเดียวกับ ปิยะ, สันติ. วุฒา และ วาปี ภิรมย์ภักดี โดยเป็นบุตรชายของนายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นที่ 2 กับ คุณหญิงสุภัจฉรี ภิรมย์ภักดี มีบุตร-ธิดา 3 คน ได้แก่ นางสาวจิตภัสร์ กฤดากร, นางสาวนันทญา ภิรมย์ภักดี และนายณัยณพ ภิรมย์ภักดี
ขณะที่นายสันติ เป็นบุตรชายของนายประจวบ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นที่ 2 มีบุตร-ธิดา 3 คนได้แก่ นายภูริต ภิรมย์ภักดี ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด, นายปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส จำกัด และนางสาวปรีดิ์รติ ภิรมย์ภักดี
ทั้งนี้ ปัจจุบันนายจุตินันท์ อายุ 63 ปี จากหนุ่มนักเรียนนอกที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศถึง 12 ปี จนตัดสินใจกลับมาช้วยธุรกิจครอบครัวคือ บุญรอดฯ ในปี 2524 เริ่มจากงานหินคือ ปรับระบบการทำงานของบุญรอดฯ ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ทำให้ได้เรียนรู้ระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบการมัดจำขวด ระบบการจัดจำหน่าย การผลิต การเก็บของ การจัดส่ง ระบบบัญชี ระบบการเงิน จากนั้นจึงไปดูงานด้านเครดิตลูกค้าแล้วต่อด้วยด้านการเงิน และการส่งออก
อีกหนึ่งผลงานของ จุตินันท์ คือ การปลุกปั้นพอร์ตเบียร์นำเข้า ภายใต้บริษัท ซี.วี.เอส.ซินดิเคท จำกัด ผู้นำเข้าเบียร์โคโรน่า และมิลเลอร์ รวมถึงน้ำแร่ ฟิจิ วอเตอร์ และการโดดเข้าสู่สนามการเมืองในปี 2549 หลังจากเรียน วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหรือวปอ. โดยเริ่มจากการดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร, สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ, ประธานคณะกรรมาธิการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สภาร่างรัฐธรรมนูญ และได้รับการเสนอชื่อสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
จนกระทั่งปลายปี 2562 ที่ผ่านมา วุฒินันท์ ได้ออกมาประกาศถึง “Singha Way” หรือ วิถีสิงห์ เพื่อสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนและก้าวสู่การเป็นองค์กร 100 ปี ของบุญรอดบริวเวอรี่
ปัจจุบัน กลุ่มบุญรอดฯ ได้แตกธุรกิจออกไปกว่า 100 มีพนักงานรวมกันกว่า 2,000 คน ซึ่งมีทั้งพนักงานรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ทำให้การสร้างวัฒนธรรมสิงห์ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรที่มีทั้งเลือดเก่าและเลือดใหม่ให้หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว
จุตินันท์ หมายมั่นปั้นมือว่า “Singha Way” จะเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่บุญรอดฯจะเดินหน้าต่อไปในอนาคต และสร้างให้เป็น DNA ของบุญรอดฯ ที่สามารถส่งต่อกันแบบรุ่นสู่รุ่นให้กับคนทุกคนในองค์กร ตั้งแต่คนในตระกูลภิรมย์ภักดี ไปจนถึงผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ
“Singha Way” ประกอบด้วย 4 แกนหลัก ได้แก่
1. กล้าหาญอย่างสิงห์ (We Act With Courage) การกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนกล้าแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ฯลฯ
2. เราคือครอบครัวสิงห์ (We Are Family) พนักงานทุกคน คือ คนในครอบครัวเดียวกัน และพร้อมจะพัฒนาให้ทุกคนมีคุณภาพ เก่งขึ้นและเติบโตขึ้น
3. ส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุด (We Deliver Premium Quality) สินค้าของสิงห์จะมีคุณภาพระดับพรีเมียม ที่ต้องทำให้ดีขึ้นต่อเนื่อง
4. เชื่อเรื่องความสุข (We Believe In Happiness) การสร้างให้พนักงานมีความสุขและเจอโอกาสที่ดีที่สุดทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว
การเข้ามาร่วมดูแลธุรกิจครอบครัวเกือบ 40 ปี ของจุตินันท์ ผ่านงานมาทุกสายงาน ได้ลิ้มรสทั้งความสำเร็จและความเจ็บปวดจากการโดนโค่นแชมป์ ที่วันนี้ บุญรอดฯ กลับมาผงาดเป็นผู้นำตลาดเบียร์ได้อีกครั้ง ทั้งหมดนี้ ย่อมพิสูจน์ได้ระดับหนึ่งแล้วว่า ควรคู่กับการนั่งแท่นบริหารต่อจาก สันติ ภิรมย์ภักดี ที่เหลือจากนี้ คือสิ่งที่จะพิสูจน์ฝีมือของเจเนอเรชั่น 3 คนนี้ต่อไป
