ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี ฟันธงอุตสาหกรรมคอนกรีตครึ่งปีหลัง แนวโน้มดี รับอานิสงส์รัฐบาลใหม่ สานต่ออีอีซี ลุ้นโครงการภาครัฐ เอกชนคึกคัก มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปสเปคพิเศษ หนุนงานเมกะโปรเจกต์เพิ่ม รักษาแบ็กล็อก 2,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2,500 ล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่คาดว่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมคอนกรีตในครึ่งปีหลังให้เติบโตเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลเดินหน้าลงทุน และทะยอยก่อสร้างงานโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ทั้งโครงการเมกะโปรเจกต์ งานถนน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วย
ขณะที่ แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในครึ่งปีหลัง จะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปสเปคพิเศษให้สามารถรองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน งานแลนด์สเคปได้อย่างหลากหลาย อาทิ ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่พิเศษ แผงกั้นคอนกรีต เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเน้นการเข้ารับงานภาครัฐ ในส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่เมกะโปรเจกต์ งานกรมทางหลวง และเดินหน้าติดตามโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการสนามบินอู่ตะเภา
ด้านงานเอกชน มุ่งเน้นเข้ารับงานนิคมอุตสาหกรรม ที่ทยอยดำเนินงานก่อสร้างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของกลุ่มผู้ประกอบการรับเหมา และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อย ขยายตัวค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางกลุ่มที่ยังคงมีการขยายงาน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเน้นเรื่องการพัฒนาสินค้ากลุ่ม Precast อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมามีการแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและเริ่มมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา
ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 60% โดยบริษัทจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับ Backlog ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ขณะที่การเติบโตปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ประมาณ 2,500 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20%