Marketing Trends

บิ๊กสหพัฒน์ สอนมวยรัฐ ยิ่งตั้งรัฐบาลช้า ยิ่งเสียโอกาส นักลงทุนหนีลงทุนเพื่อนบ้าน

‘บุณยสิทธิ์’ ประธานเครือสหพัฒน์ จี้เร่งตั้งรัฐบาลฟื้นความเชื่อมั่นลงทุนไทย ก่อนนักลงทุนหนีไปอินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมา ยิ่งช้ายิ่งเสียโอกาส ด้านเครือสหพัฒน์เดินหน้าลงทุนโรงแรม คอนโดมิเนียม โรงเรียนนานาชาติ พร้อมจับมือฯญี่ปุ่นดึงนักลงทุนเข้านิคมอุตสาหกรรม

DSCF0710 1

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า หลังการเลือกตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้ามาถึง 2 เดือนทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจในเสถียรภาพการเมืองไทย และเกิดภาวะชะลอการลงทุน รวมถึงอาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีเสถียรภาพมากกว่า อย่าง อินโดนีเซียที่เพิ่งเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมถึงเวียดนามและเมียนมาร์ที่เศรษฐกิจยังเติบโต

“ถ้ารัฐบาลตั้งไม่ได้ก็แย่ เราจะเสียโอกาสมาก ผลกระทบเกิดแน่ในครึ่งปีหลัง เพราะตอนนี้จริงๆ ก็ควรมีการลงทุนแล้วตั้งแต่ต้นปี แต่ตอนนี้ทุกคนต่างชะลอเพราะรอดูหน้าตารัฐบาลใหม่ก่อน ถ้าตั้งได้เร็วจะมีการลงทุนในครึ่งปีหลังกับปีหน้าอีกมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ว่ารัฐบาลที่ตั้งมาต้องมีเสถียรภาพด้วย จึงจะฟื้นความเชื่อมั่นได้”นายบุณยสิทธิ์กล่าว

นอกจากนี้ ควรมีการจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง และหากรัฐบาลใหม่เข้ามาก็ควรมีมาตรการเร่งด่วนได้แก่ การกระจายเงินสู่รากหญ้าเพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนได้, ค่าเงินบาทควรอ่อนค่ามากกว่านี้ หรืออยู่ที่ 32 บาทขึ้นไป

DSCF0645

ในส่วนของเครือสหพัฒน์เอง นายบุณยสิทธิ์ยอมรับว่า อยู่ในช่วงแตะเบรคเพื่อรอดูสถานการณ์เช่นกัน แต่ก็พร้อมจะลงทุนหากการเมืองมีเสถึยรภาพและหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ออกมาดี แต่จากความล่าช้าของการตั้งรัฐบาล ทำให้คาดว่าปีนี้จะลงทุนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา จากเดิมที่คาดว่าจะลงทุนเพิ่มจากปีก่อน 2-3 เท่าตัว และตั้งเป้าการเติบโตลดลง จากปกติคาดว่าจะโตได้ 5% เหลือประมาณ 3% จากยอดขาย 300,000 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนในปีนี้ จะมีการเซ็นสัญญาเอ็มโอยูหลายโครงการ เช่น โครงการโรงแรมกว่า 100 ห้องระดับ 4-5 ดาว และคอนโดมิเนียมกว่า 200 ห้องที่ศรีราชา โดยร่วมทุนกับโตคิว ประเทศญี่ปุ่น คาดลงทุน 2 โครงการประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท และเปิดโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจ กรุงเทพฯ ที่ร่วมมือกับโรงเรียนคิงส์คอลเลจ วิมเบิลดัน ประเทศอังกฤษ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

2 21

นอกจากนี้จะมีการเซ็นเอ็มโอยูกับกลุ่ม โซจิซึ (SOJISTU) ประเทศญี่ปุ่นเพื่อดึงนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตในนิคมอุตสาหกรรมสหพัฒน์ ทั้งที่ลำพูน กบินทร์บุรี และแม่สอด และหากมีการลงทุนเพิ่มขึ้นจากพื้นที่ที่มีอยู่ ก็พร้อมจะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมารองรับนักลงทุน รวมไปถึงการให้ความสำคัญด้านพลังงาน โดยจะเริ่มใช้สมาร์ท กริด สำหรับโรงงานในเครือที่นิคมอุตสาหกรรมสหพัฒน์ศรีราชาด้วย เพื่อเพิ่มทางเลือกในการใช้พลังงานจากหลากหลายแหล่ง

ขณะเดียวกัน ยังวางทิศทางการขยายธุรกิจของเครือสหพัฒน์ ที่จะมุ่งสู่ภาคบริการมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 10% เนื่องจากมองว่า นอกจากธุรกิจในภาคผลิตที่สหพัฒน์ทำมาตลอด และมีสินค้าเกือบครบทุกกลุ่มแล้ว ภาคบริการจะเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็มได้ครบวงจร ทั้งสินค้าดีและบริการดี เช่น ธุรกิจรักษาความปลอดภัย โรงเรียน บริษัทเทรดดิ้ง ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย โรงแรม โลจิสติกส์เป็นต้น

Avatar photo