ไทยถูกจัดอันดับประเทศที่ 51 พร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน จาก 115 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้นจากปี 2561 เหตุแผนพีดีพี 2018 กำหนดทิศทางรับพลังงานในอนาคต
วันนี้ (25 มี.ค.) เวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ) หรือสภาเศรษฐกิจโลก ร่วมกับกระทรวงพลังงาน ออกรายงานประจำปี “Global Energy Transitions Index 2019” การสนับสนุนระบบพลังงานต่อการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2562 มีการจัดลำดับทั้งหมด 115 ประเทศทั่วโลก
ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับการจัดลำดับที่ดีเพิ่มขึ้นถึง 3 ลำดับ มาอยู่ที่ลำดับที่ 51 จากเดิมลำดับที่ 54 ในปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งการเลื่อนลำดับดังกล่าว มาจากการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการเข้าถึงพลังงาน รวมถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม โดยประเทศไทยยังมีคะแนนด้านประสิทธิภาพของระบบพลังงาน และความพร้อมสู่ระบบพลังงานในอนาคตเกินกว่าค่ามาตรฐานโลกอีกด้วย
การจัดลำดับในรายงานของดับเบิลยูอีเอฟครั้งนี้ ถือเป็นการวัดด้านประสิทธิภาพของระบบพลังงาน มีผลวิเคราะห์ข้อมูลที่ตรวจสอบอ้างอิงได้ โดยที่ผู้กำหนดนโยบายสามารถนำข้อมูลไปเพิ่มประสิทธิภาพของระบบพลังงานของประเทศ
ลำดับ 1 – 5 ของประเทศที่มีความพร้อมของระบบพลังงานต่อการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคต ได้แก่ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ตามลำดับ
นายโรแบรโต้ บาคคา ประธานด้านพลังงาน และผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต และกรรมการบริหารดับเบิลยูอีเอฟ แสดงความเชื่อมั่นว่า อาเซียนจะมีบทบาทสำคัญ ต่อการเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ด้านระบบพลังงานต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจะเป็นชาติที่มีความพร้อมในการปฏิบัติการดังกล่าว
การกำหนดนโยบายพลังงานในรูปแบบใหม่ๆ และการหาพันธมิตรความร่วมมือทางพลังงาน จะเป็นแก่นสำคัญของการรับมือความท้าทายทางพลังงานของอาเซียน เนื่องจากจะไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่ระบบพลังงานจะพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตได้เพียงประเทศเดียว และถือได้ว่าชาติในอาเซียน อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่แสดงความเป็นผู้นำในการผลักดันกลยุทธ์ระดับประเทศและระดับภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทย ในปี 2562 นี้ ดับเบิลยูอีเอฟ พร้อมจะให้การสนับสนุนแผนพัฒนาความพร้อมสู่ระบบพลังงานในอนาคตของอาเซียน โดยจะได้ใช้ประโยชน์จากดัชนีวัดความพร้อมของระบบพลังงานของประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคต ควบคู่ไปกับความร่วมมือด้านพลังงาน ผ่านเวทีของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างความเข้มแข็งให้ชาติในอาเซียน รองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การจัดอันดับดังกล่าว วัดจากปัจจัย 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.การเข้าถึงพลังงานของประชาชน หมายถึงพลังงานมีใช้อย่างเพียงพอ 2. การเติบโตทางเศรษฐกิจ 3. สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน
ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น เพราะมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือพีดีพี 2018 ที่สอดคล้องกับความทันสมัย และการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า ( Prosumer ) ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน และให้ความสำคัญกับการกระจายแหล่งเชื้อเพลิง
ทางด้านนายมาร์คุส ลอเรนซินี่ ประธานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ประเทศไทย บริษัทซีเมนส์ จำกัด ระบุว่า บริษัทเข้ามาสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ในกิจการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ที่จะช่วยให้ไทยมีความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยหลายราย ในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ ไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน ในส่วนของระบบส่งไฟฟ้า บริษัทมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ทำให้การส่งไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้น
นายวุฒิกร สติธิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเด็นของระบบพลังงานในอนาคต ก็คือการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เช่น การเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติระหว่างประเทศ หรือ ความร่วมมือในการรับส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งปัจจุบันประเทศในอาเซียนที่มีสถานีรับส่งแอลเอ็นจีได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ซึ่งไทยมีโครงการขยายสถานีรับส่งแอลเอ็นจีอย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางแอลเอ็นจีในอนาคต
เช่นเดียวกับกิจการไฟฟ้า นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า การเชื่อมสายส่งไฟฟ้าระหว่างประเทศเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ซึ่งไทยมีการเชื่อมโยงระหว่าง 2 ประเทศหลายโครงการ อาทิ ไทยและสปป.ลาว