เฟซบุ๊ค ประเทศไทย เปิดตัวออฟฟิศใหม่ ณ เกษร ทาวเวอร์ อย่างเป็นทางการ โดยยึดพื้นที่ชั้น 27 ทั้งชั้นพร้อมใส่ฟังก์ชันการทำงาน และการพักผ่อนหย่อนใจเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมใส่กิมมิคความเป็นไทย ด้วยการสร้างห้องประชุม “55555” เอาไว้ด้วย ขณะที่ฟากของธุรกิจนั้น เตรียมให้การสนับสนุน SME ไทยให้ค้าขายได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น
ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มด้านโซเชียลมีเดียที่คนไทยนิยมใช้สูงสุดกับเฟซบุ๊ค (Facebook) โดยในวันนี้ทางบริษัทได้ตัดสินใจเผยโฉมออฟฟิศแก่สาธารณชนอย่างเป็นทางการบนชั้น 27 ของเกษรทาวเวอร์ โดยเมื่อเข้ามาในออฟฟิศ จะพบกับแผนกต้อนรับพร้อมผลงานศิลปะขนาดใหญ่สะดุดตาตั้งตระหง่านทักทาย และก่อนจะเข้าถึงภายในออฟฟิศได้ก็จะมีระบบซีเคียวริตี้อีกชั้นหนึ่งเพื่อยืนยันตัวตนก่อนไม่ต่างจากบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติรายอื่น ๆ
โดยกรรมการผู้จัดการเฟซบุ๊ก ประเทศไทย นายจอห์น แวกเนอร์ (John Wagner) เผยถึงการตัดสินใจรุกภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม SME ไทยซึ่งเป็นภารกิจหลักในปีนี้ว่า สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลแล้วเป็นที่เรียบร้อย พิจารณาได้จากข้อมูลการจัดอันดับของโกลบอล เว็บ อินเด็กซ์ที่พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้เวลาไปกับอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลก (ข้อมูล ณ ไตรมาสที่ 4 ปี 2560) ซึ่งหลาย ๆ นวัตกรรมที่เฟซบุ๊กคิดค้นขึ้นก็ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้ใช้งานชาวไทย ยกตัวอย่างเช่น มาร์เก็ตเพลส (Marketplace) ที่ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่เฟซบุ๊กพบว่า ผู้ใช้งานชาวไทยมีการไลฟ์สดเพื่อขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม ความแปลกใหม่นี้ทำให้วิศวกรผู้พัฒนาระบบของเฟซบุ๊กได้บินตรงมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาพฤติกรรมดังกล่าวด้วยตนเอง ก่อนจะนำไปสู่การสร้างเป็นมาร์เก็ตเพลสให้ภาคธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลกได้ใช้งานกัน
โดยการมีบทบาทของเฟซบุ๊กต่อภาคธุรกิจไทยจะปรากฏในสามกลุ่มได้แก่ กลุ่ม SME, กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และกลุ่มคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ซึ่งนายจอห์น แวกเนอร์ระบุว่า นวัตกรรมด้านดิจิทัลส่วนมากที่เฟซบุ๊กพัฒนาขึ้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลุ่ม SME เป็นหลัก ส่วนกลุ่มคอมมูนิตี้บนเฟซบุ๊กนั้น มักเป็นกลุ่มที่นำเสนอแนวคิดเชิงบวกให้กับเฟซบุ๊กได้เสมอ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มวิ่งด้วยกัน หรือ Run2Gether ที่เป็นกลุ่มสำหรับการวิ่งในผู้พิการชาวไทยและได้รับความสนใจจากทีมงานของมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก มาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าวด้วยตนเอง และคลิปวิดีโอนั้นถูกนำไปเปิดให้กับพนักงานเฟซบุ๊กได้ชมกันที่สำนักงานใหญ่ในงาน Q&A เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย
โดยปัจจุบัน เฟซบุ๊กเผยว่ามีการสร้างกลุ่มต่าง ๆ เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 1 ล้านกลุ่ม
สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่นั้น ปัจจุบันพบว่ามีองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ซีพี, เซ็นทรัลกรุ๊ป, เอสซีจี, เทสโก้โลตัส ฯลฯ เข้าใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น โซเชียลคอมเมิร์ซ หรือการซื้อขายสินค้าที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ในประเทศไทยนั้นครองส่วนแบ่งมากกว่า 50% ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งที่มาที่นายจอห์น แวกเนอร์มองว่าถึงเวลาที่จะต้องลงทุนเพิ่มในประเทศไทยแล้ว
โดยการสนับสนุนที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจของไทยนั้นประกอบด้วย การจัดเวิร์กชอปต่าง ๆ, การจัดอบรมออนไลน์ รวมถึงมีส่วนงานให้ความช่วยเหลือผ่านบริการแชท
สำหรับปัญหาในการใช้งานโซเชียล คอมเมิร์ซที่ยังมีจุดอ่อนในหลาย ๆ ด้าน ยกตัวอย่างเช่น สินค้าที่จำหน่ายไม่ได้มาตรฐาน ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ แล้วจะมีวิธีป้องกันด้วยการยังไม่โอนเงินให้กับผู้ค้าจนกว่าผู้ซื้อจะได้รับสินค้าที่ถูกต้องนั้น นายจอห์น แวกเนอร์ระบุว่า เฟซบุ๊กอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการซื้อขายให้มีความรัดกุมมากขึ้น และต้องอาศัยผู้ใช้งานช่วยรีพอร์ตเข้ามายังระบบหากพบความไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา บริการอย่างแมสเซนเจอร์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ค้าแชทและเก็บเงินกับผู้ซื้อได้เลยก็ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว และในจุดนี้ นายจอห์น แวกเนอร์เผยว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ระบบการค้าออนไลน์ต้องสร้างประสบการณ์การค้าแบบลื่นไหลให้เกิดขึ้น เพราะหากผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี หรือติดขัดกับระบบขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง พวกเขาจะขยาดการซื้อของออนไลน์ไปได้เลย
“60% ของผู้เข้าเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซออกไปโดยที่ไม่ได้กระทำการใด ๆ และ 43% มักจะทิ้งสินค้าในตะกร้าที่เลือกเอาไว้แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากแบบฟอร์มการลงทะเบียนของเว็บอีคอมเมิร์ซที่ซับซ้อน และลิงค์โฆษณาที่ไม่ต่อเนื่อง รวมถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะกับการเข้าใช้งานผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เหล่านี้เป็นเหตุให้ตลาดการค้าออนไลน์ประสบปัญหาติดขัด” นายจอห์น แวกเนอร์กล่าว
จากการเปิดเผยของนายจอห์น แวกเนอร์ ปัจจุบัน เฟซบุ๊กมีผู้ใช้งานชาวไทยเข้าใช้งานเป็นประจำทุกเดือน 51 ล้านคน และเข้าใช้งานเป็นประจำทุกวัน 34 ล้านคน และมีธุรกิจ SME อยู่บนเฟซบุ๊กกว่า 2.5 ล้านราย เติบโตขึ้นจากปี 2560 ถึง 11%
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมา การประกาศเปลี่ยนอัลกอริธึมของเฟซบุ๊ก และกระทบต่อยอด Reach ของผู้ประกอบการนั้นได้ทำให้หลายฝ่ายคลางแคลงใจว่า เฟซบุ๊กพร้อมสนับสนุน SME จริงหรือไม่ ในจุดนี้ นางสาวชวดี วงศ์พยัต หัวหน้าฝ่ายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประจำประเทศไทยของเฟซบุ๊กเผยว่า การปรับอัลกอริธึมมีขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเชื่อมต่อกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือสิ่งที่สนใจ สำหรับแบรนด์ที่มองว่าได้รับผลกระทบและไม่ต้องการซื้อโฆษณา สามารถแก้ได้ด้วยการผลิตคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และตรงกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วม และเกิดการแพร่กระจายคอนเทนต์ให้กว้างขวางมากขึ้นได้เช่นกัน
