ปี 2563 เป็นปีที่ชาวอเมริกันต้องเจอกับมรสุมหลายอย่าง โดยเฉพาะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนในประเทศนี้ ต้องพบกับความเศร้ามากที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี
ผลการสำรวจที่ใช้ชื่อว่า Covid Response Tracking จัดทำขึ้นโดยสถาบัน NORC แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า มีเพียง 14% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ที่บอกว่ามีความสุขมาก ลดลงจาก 31% เมื่อปี 2561 ซึ่งในปีนั้น 23% กล่าวว่าพวกเขามักจะรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ในตอนนี้คนที่บอกว่ารู้สึกโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50%
การสำรวจที่มีขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม รวบรวมข้อมูลการวิจัยเกือบครึ่งศตวรรษจากการสำรวจทางสังคม โดยได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติ และพฤติกรรมของชาวอเมริกันอย่างน้อยปีเว้นปี ตั้งแต่ปี 2515
การสำรวจความคิดเห็นครั้งใหม่ในปีนี้เสร็จสิ้นลง ก่อนการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันผิวสี ผู้ถูกตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดที่คอจนเสียชีวิต ที่นครมินนีแอโปลิสเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งนำไปสู่การประท้วงทั่วประเทศ และส่งผลให้ชาวอเมริกันมีความรู้สึกเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวอเมริกันผิวสี
เลกซีย์ วอล์คเกอร์ สตรีอเมริกันอายุ 47 ปีซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับเมืองกรีนวิลล์ รัฐเซาธ์ แคโรไลนา กล่าวว่า เธอรู้สึกกังวล และรู้สึกหดหู่อย่างยาวนานในปีนี้ เธอย้ายกลับไปอยู่ที่เซาธ์แคโรไลน่าเมื่อปลายปี 2562 จากนั้นแมวของเธอก็ตายลง บิดาของเธอก็มาเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ และพอคิดว่าจะเริ่มออกไปพบปะผู้คนเพื่อที่จะรักษาตัวเองให้หายจากความโศกเศร้า ก็เกิดโรคระบาดใหญ่ขึ้นเสียก่อน
นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ผู้คนมองโลกในแง่ดีกันน้อยลงกว่าในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ ในแง่ของมาตรฐานการครองชีพสำหรับคนรุ่นต่อไป มีชาวอเมริกันเพียง 42% ที่เชื่อว่า เมื่อลูก ๆ ของพวกเขาโตขึ้น มาตรฐานการครองชีพของพวกเขาจะดีขึ้น ในขณะที่ผลสำรวจเดียวกันนี้อยู่ที่ระดับ 57% เมื่อปี 2561
เมื่อเปรียบเทียบกับแบบสำรวจที่มีขึ้น หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี ในปี 2506 และหลังเหตุการณ์การโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 พบว่า ชาวอเมริกันมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ และจิตใจน้อยกว่าในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 กล่าวคือ มีรายงานว่าระดับการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ การร้องไห้หรือรู้สึกงุนงงสับสนในช่วงโควิด-19 ก็มากกว่าช่วงหลังจากที่เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวทั้งสองครั้ง
ชาวอเมริกันที่บอกว่าตนรู้สึกอ้างว้าง ยังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากเมื่อปี 2561 และมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ก็ทำให้ความพึงพอใจในกิจกรรมทางสังคมและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ลดลงด้วย
อย่างไรก็ดี ซอนญ่า ลิวโบเมียร์สกี ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตริเวอร์ไซด์ กล่าวว่า มนุษย์มีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง และสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ทางด้าน โจนาธาน เบอร์นีย์ จากเมืองออสติน รัฐเท็กซัส กล่าวว่า การเกิดโรคระบาดใหญ่ และการถูกเลิกจ้างในฐานะผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิทัล ในบริษัทกฎหมาย ทำให้เขาต้องประเมินทุกอย่างในชีวิตของเขาใหม่อีกครั้ง
และในขณะที่เขายอมรับว่า ตอนนี้เขาไม่มีความสุขเลย ก็ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วตอนก่อนที่จะเกิดโรคระบาด เขามีความสุขจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งเบอร์นีย์ ผู้กำลังมองหางาน กล่าวว่า เขากำลังพยายามเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะในที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ที่มา : วอยซ์ ออฟ อเมริกา
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โพลเปิด ‘10 พฤติกรรม New Normal’ ที่ต้องปรับเปลี่ยนในยุคโควิด
- โพลเผย ‘อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ’ ทำยาก แม้ล็อกดาวน์
- โพล 95.5% โดนใจ! มาตรการ ‘เยียวยาเกษตรกร’ ชี้ไม่ได้เงินเดือดร้อนแน่