ผู้บริหารระดับสูงของ 2 บริษัทพลังงานรายใหญ่สุดในโลก เชฟรอน คอร์ป และเอ็กซอน โมบิล วิตกความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ กับประเทศอื่นๆ อาจบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้มีการจัดเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดต่อเหล็ก อลูมิเนียม และสินค้านำเข้าอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง มาตรการที่ทำให้ชาติที่ตกเป็นเป้าหมายดำเนินมาตรการตอบโต้ทางภาษีต่อสินค้าเกษตร รถจักรยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ส่งออกอื่นๆ ของสหรัฐ รวมถึง ปิโตรเลียม
สถานการณ์ดังกล่าว สร้างความกังวลให้กับทั้งเชฟรอน เอ็กซอน และบริษัทผู้ผลิตพลังงานรายอื่นๆ ว่า การเคลื่อนไหวของผู้นำสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้ารายใหญ่สุดของบริษัทเหล่านี้จำนวนหนึ่ง รวมถึง จีน และสหภาพยุโรป (อียู)
“ความเสี่ยงของสงครามการค้า เริ่มส่งผลต่อความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตแล้ว เรื่องเหล่านี้ทำให้เกิดความเสี่ยง ที่กำลังจะกลายมาเป็นตัวฉุดการขยายตัว” ไมค์ เวิร์ธ ซีอีโอเชฟรอน กล่าวภายในงานสัมมนา “เวิลด์ ก๊าซ คอนเฟอเรนซ์” ที่วอชิงตัน
เวิร์ธ เปิดเผยด้วยว่า เชฟรอนพยายามที่จะซื้อเหล็กสำหรับท่อส่งน้ำมัน และอุปกรณ์อื่นๆ จากผู้ผลิตสหรัฐ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ตลอดไป
ขณะที่ ดาเรน วูดส์ ซีอีโอเอ็กซอน บอกว่า ที่ผ่านมาโลกดำเนินไปด้วยดี กับการค้าที่มีอัตราภาษีต่ำ และเคลื่อนไหวอย่างเสรี
“การจัดเก็บภาษีเช่นนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยง ที่จะทำให้โครงการบางโครงการมีความน่าสนใจน้อยลง”
นอกจากนี้ ซีอีโอของทั้ง 2 บริษัท ที่ต่างเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในสหรัฐ เห็นพ้องกันว่า ก๊าซธรรมชาติเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะลดภาวะเรือนกระจก และยังเพิ่มการเข้าถึงพลังงานให้กับประเทศกำลังพัฒนาด้วย