Stock

‘TU’ กำไรไตรมาส 3/65 สูงเป็นประวัติการณ์ ‘ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง’ โตแรง

โชว์ฟอร์มหรูทีเดียว สำหรับผู้นำในธุรกิจผลิต และจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น และกระป๋อง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/65 สามารถทำสถิติยอดราย และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์

โดยมียอดขาย 40,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากราคาขายที่ปรับสูงขึ้น และปริมาณขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ที่เติบโตอย่างโดดเด่นกว่า 55% และกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป เติบโต 13% ในขณะที่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง และแช่เย็นมีระดับใกล้เคียงจากช่วงเดียวกันปีก่อน

กำไรสูงประวัติการณ์

อีกทั้งบริษัทยังมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น ตามกลยุทธ์การปรับราคาขายสินค้า สําหรับธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ประกอบกับมีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 792 ล้านบาท เพราะผลจากการอ่อนค่าลง 10.6% ของสกุลเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์

อย่างไรก็ดี บริษัทมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมอยู่ที่ -256 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลงทุนในธุรกิจ Red Lobster ซึ่งเป็นเครือร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ล่าสุด ได้เปิดสาขาแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ พร้อมมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา ภายใน 5 ปี

ธุรกิจที่โดดเด่นมากในไตรมาสนี้ คือ กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งดำเนินงานผ่าน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เร็ว ๆ นี้ โดยเป็นส่วนธุรกิจในกลุ่มที่มีศักภาพสูงในการเติบโต ด้วยอัตรากําไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ จากความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง

รวมไปถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยกตัวอย่างเช่น สินค้าจำพวกขนมปลาเส้น ตับปลาค็อดบรรจุกระป๋อง อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน สินค้าติ่มซำ ซอสปรุงรส ผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการผลิตปลาและกุ้ง ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ภาชนะบรรจุภัณฑ์หรือกระป๋องสำหรับอาหารแปรรูป บริการสิ่งพิมพ์สำหรับฉลากกระป๋องและผลิตภัณฑ์อื่น และอื่นๆ อีกมากมาย เนื่องจาก TU มีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างอัตรากําไรสูงขึ้น

pet

ล่าสุด ในงาน Opportunity Day เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา “นางสาวรตินันทน์ วงศ์วัชรานนท์” หัวหน้าหน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์ TU คาดการณ์ว่า ยอดขายในช่วงไตรมาส 4/65 จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง พร้อมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น และเริ่มเห็นผลเต็ม ๆ ในปีหน้า

ปัจจัยหลักมาจากราคาต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งทางเรือที่เริ่มดีขึ้น โดย TU ตั้งเป้าหมายยอดขายปี 2565 จะเติบโต 10-12% อัตรากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่า 18% และมีสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายอยู่ที่ 12-12.5%

ทิศทางผลประกอบการในปี 2566 ตั้งเป้ารายได้และกำไร จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ ตามการขยายตัวของยอดขายสินค้า รวมถึงราคาต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และกุ้ง มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากราคาต้นทุนผ่านจุดพีคไปหมดแล้วในช่วงต้นปี 2565

นอกจากนี้ วางงบการลงทุนสำหรับปี 2566 ไว้ที่ระดับ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่กำลังฟื้นตัวชัดเจน รองรับการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทในอนาคต

TU

ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ อย่างอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีกลยุทธ์บริหารจัดการผ่านการต่อรองราคาอย่างต่อเนื่องเพื่อแบ่งภาระต้นทุน ปรับเปลี่ยนการทําการตลาด และมุ่งเน้นการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน ปรับสเปคการผลิตให้ต้นทุนลดลง ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการเพื่อเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement)

ส่วนความกังวลเรื่องการปรับค่าแรงขั้นตํ่าเพิ่มขึ้น 5% โดยเฉลี่ย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 บริษัทประเมินว่า จะมีผลกระทบจํากัดต่อต้นทุน คิดเป็นประมาณ 0.2% ของยอดขาย และบริษัทยังมุ่งเน้นการนําระบบการผลิตแบบอัตโนมัติมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก ในโรงงานผลิตต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน