Stock

ดาวโจนส์-แนสแด็ก พุ่งกว่า 100 จุด ขานรับผลประกอบการแกร่ง เมิน ‘จีดีพี’ ซบเซา

ดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ในวันนี้ (28 ต.ค.) ขานรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง แม้สหรัฐเปิดเผยว่าเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2.0% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 35,633.98 จุด ทะยานขึ้น 143.29 จุด หรือ 0.40% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,585.74 จุด ปรับขึ้น 34.06 จุด หรือ 0.75% และดัชนีแนสแด็กที่ 15,411.91 จุด พุ่งขึ้น 176.07 จุด หรือ 1.16%

บริษัทฟอร์ด, คอมแคสต์ และแคทเธอร์ พิลลาร์ต่างเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 3 นักลงทุนยังจับตาผลประกอบการของบริษัทแอปเปิ้ล และอเมซอน  ซึ่งจะรายงานหลังปิดตลาดวันนี้

ดาวโจนส์

บริษัทจำนวนเกือบ 40% ในดัชนี เอสแอนด์พี 500 รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดยมากกว่า 80% ในจำนวนดังกล่าวมีผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ และนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 37.6%

ราคาหุ้นของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 3% ในการซื้อขายวันนี้ หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรสูงกว่าคาดในไตรมาส 3 พร้อมกับการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปีนี้

เมอร์คเปิดเผยตัวเลขกำไรสูงกว่าคาดในไตรมาส 3 โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายยา Keytruda ซึ่งเป็นยารักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขาย Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

เมอร์คระบุว่า การปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปีนี้ยังไม่รวมยอดขายยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ซึ่งทางบริษัทได้ยื่นขออนุมัติการใช้ยาเป็นกรณีฉุกเฉินต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติก็จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/2564 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวเพียง 2.0% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 2.7%

การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 3 ถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่เผชิญภาวะหดตัว 31.2% ในไตรมาส 2 ของปี 2563 โดยก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจกิจสหรัฐเติบโต 6.7% ในไตรมาส 2 และ 6.3% ในไตรมาส 1

ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 3 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง รวมทั้งตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ดาวโจนส์

นอกจากนี้ เศรษฐกิจยังได้รับปัจจัยลบจากการปรับตัวลงของการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ และการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งการพุ่งขึ้นของยอดขาดดุลการค้าสหรัฐ ซึ่งแตะระดับ 9.63 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.3% ในไตรมาส 4 หลังจากพุ่งขึ้น 33.4% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือมากกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

เศรษฐกิจหดตัว 31.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.4% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายนนี้ โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 281,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 290,000 ราย และต่ำกว่า 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน

อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงสูงกว่าระดับ 230,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

Avatar photo