Stock

‘KBank Private Banking’ เจาะลึก ‘กองทุนหุ้นจีน’ โอกาสรีบาวด์จาก ‘มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ’

​KBank Private Banking เจาะลึก กองทุนหุ้นจีน มองเศรษฐกิจจีนยังคงดูดี แรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ ที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ด้วยอัตราการออมของภาคครัวเรือนที่สูงมาก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม

ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2564 ตลาดหุ้นจีนถือเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงที่สุดตลาดหนึ่งในโลก เพราะเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่สามารถฟื้นคืนหลังจากวิกฤติโควิด-19 การลงทุนในหุ้นจีน ณ เวลานั้นทำให้นักลงทุนต่างยินดีกับผลตอบแทนที่ได้รับ

shutterstock 2006995388

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่าน เชื่อว่านักลงทุนหลายคนคงได้รับผลกระทบจากการลงทุนในหุ้นจีน โดยในช่วงปลายปี 2565 เป็นช่วงที่ ดัชนีหุ้นจีน (MSCI China) อยู่ที่จุดขาดทุนสูงสุดที่กว่า 60% จากการได้รับผลกระทบจากหลายเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในประเทศจีน

ไม่ว่าจะเป็น การที่ทางการจีนเข้าแทรกแซงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง อาลีบาบา และ เทนเซนต์ ต่อเนื่องไปจนถึง การผิดนัดชำระหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ ณ ปัจจุบัน แนวโน้มตลาดหุ้นจีนดูสดใสมากขึ้น โดยมีผลตอบแทนบวกกลับขึ้นมาเกือบ 40% จากจุดต่ำสุด

แม้นักลงทุนหลายคนจะยังคงกังวล และยังไม่กล้าตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรกับกองทุนหุ้นจีน ที่ยังคงอยู่ในพอร์ต KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุน มองว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนยังคงดูดี โดยหนุนจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ

  1. การบริโภคในประเทศ จากกำลังซื้อในภาคครัวเรือนจีนที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ด้วยกระสุนจากอัตราการออมของภาคครัวเรือนที่สูงมาก
  2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับรัฐบาลจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคเอกชนเพิ่มเติม ทำให้เชื่อว่าได้หุ้นจีนได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว

นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจจีนในหลากหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากรัฐบาลจีนต้องการหนุน กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน แทนการส่งออก และภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และด้านสิ่งแวดล้อม

กองทุนหุ้นจีน

ทั้งความขัดแย้งระหว่างจีน และสหรัฐ ที่ยังคงมีอยู่ ก็จะช่วยผลักดันให้จีนต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมในหลายอุตสาหกรรม เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐ

ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งตลาดในประเทศ และการส่งออก จากเป้าหมายเรื่องการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

นอกเหนือจากปัจจัยสนับสนุนที่กล่าวมาแล้ว ในแง่การลงทุน KBank Private Banking มองว่าตลาดหุ้นจีนยังน่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นจีน (Valuation) ยังไม่แพง เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในประเทศอื่น ๆ และเชื่อว่า ตลาดหุ้นจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงปลายปี 2565 ซึ่งจากข้อมูลในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นจีนมักจะใช้เวลาเป็นปีกว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาจากจุดต่ำสุด

นอกจากนี้ ยังมองว่าตลาดหุ้นจีนมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก หากเริ่มต้นปีด้วยราคา หรือ P/E Ratio ที่ต่ำ ประกอบกับอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ หรือ EPS growth ของที่สูงกว่า 10%

KBank Private Banking สรุป 4 กลุ่มธุรกิจที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 

  • กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเกรดพรีเมี่ยม

จากการที่คนจีนที่มีฐานะดีขึ้น จำนวนชนชั้นกลางที่สูงขึ้น ส่งผลบวกต่อการบริโภคในประเทศ รวมถึงได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ ที่เน้นการพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ

  • กลุ่ม Healthcare

จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก รวมไปถึงได้ประโยชน์จากเทรนด์การดูแลสุขภาพ

กองทุนหุ้นจีน

  • กลุ่มเทคโนโลยี

เช่น ผู้พัฒนา และผลิตซอฟต์แวร์ ที่ได้รับแรงหนุนจากการใช้คลาวด์ (Cloud) และเอไอ (A.I.) มากขึ้น ประกอบกับการที่จีนเร่งพัฒนานวัตกรรม เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐ

  • กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน

เช่น รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาดต่าง ๆ เป็นต้น

ดังนั้น คำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากตลาดหุ้นจีน คือ ลงทุนผ่านกองทุน K-CCTV ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน A-Shares (ตลาดหลักทรัพย์เชี่ยงไฮ้ และเชินเจิ้น) พร้อมบริหารความเสี่ยง ด้วยการปรับสัดส่วนอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความผันผวน แม้ในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนสูง และ K-CHINA ที่ลงทุนในหุ้นจีน ที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และประเทศอื่น ๆ (All China)

ทั้ง 2 กองทุนนี้ลงทุนในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ มีคุณภาพดี มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยแนะนำให้ลงทุนในระยะยาว และลงทุนควบคู่กับสินทรัพย์อื่น โดยเฉพาะสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดโอกาสขาดทุน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo