Finance

ด่วน! สั่งจำคุก 860 ปีคดีฟอกเงิน ‘เสี่ยวิชัย’ อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ชดใช้กว่า 8,000 ล้าน

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตัดสินแล้ว คดีฟอกเงิน “เสี่ยวิชัย” อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร จำคุก 860 ปี ลูกชายกับพวกโดน 38-416 ปี พร้อมให้ร่วมกันชดใช้หนี้คืนกว่า 8,868 ล้านบาท

วันนี้ (19 สิงหาคม 2565) ที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.เลียบทางรถไฟ ย่านตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีร่วมกันฟอกเงิน หมายเลขดำอท.214/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 83 ปี อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร จำเลยที่ 1 นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 56 ปี บุตรชายของ นายวิชัย อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โบนัส บอร์น จำกัด จำเลยที่ 2

ศาลอาญา

นายบัญชา ยินดี อายุ 63 ปี อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด และ บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด จำเลยที่ 3 น.ส.เพชรรัตน์ เทพสัมฤทธิ์พร อายุ 51 ปี อดีตเลขานุการของนายรัชฎา จำเลยที่ 4 นายปภพ สโรมา อายุ 69 ปี ผู้มีชื่อเป็นกรรมการใน 3 บริษัท จำเลยที่ 5 และนายธีรโชติ พรมคุณ อายุ 58 ปี พนักงานขับรถของ นายวิชัย จำเลยที่ 6

ทั้งนี้ได้ยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2547 มาตรา 4, 5, 9, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91

อัยการโจทก์ระบุฟ้อง พฤติการณ์ความผิดจำเลยทั้งหมด สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 11 กันยายน 2546 -ธันวาคม 2547 หลังจากที่มีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของ ธนาคารกรุงไทยฯ ผู้เสียหายให้กับ บมจ.กฤษดามหานคร และบริษัทในเครือโดยมิชอบแล้ว จำเลยทั้ง 6 คน กับพวกอีกหลายคน สมคบกันฟอกเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ จำนวน 1.04 หมื่นล้านบาท

พร้อมกันนี้ ได้มีการนำบริษัทนิติบุคคลที่จำเลยที่ 1-3 มีอำนาจกระทำการแทน มาใช้ในการโอนและรับโอนเงิน โดย น.ส.เพชรรัตน์ จำเลยที่ 4 เลขานุการ ของนายรัชฎา จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคารพาณิชย์ และบัญชีซื้อขายของบุคคลอื่น เพื่อให้จำเลยที่ 1 กับพวกนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปใช้ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมี นายปภพ จำเลยที่ 5 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารของ บจก.โกลเด้นฯ ที่รับโอนเงินจากการกระทำผิดไปเข้าบัญชี บจก.แกรนด์ คอมพิวเตอร์ฯ แล้วนำมาชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นแปลงสภาพ บมจ.กฤษดามหานคร

ส่วนนายธีรโชติ จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถประจำตัวนายวิชัย อดีตผู้บริหาร บมจ.กฤษดามหานคร ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้นายวิชัย จำเลยที่ 1 โอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดแล้วทำหน้าที่นำเช็คของธนาคาร ที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายไปเบิกถอนเป็นเงินสด ตามคำสั่งของนายวิชัย จำเลยที่ 1

ขณะที่ บจก.อาร์เคฯ และ บจก.โกลเด้นฯ เมื่อได้รับการอนุมัติสินเชื่อจาก ธนาคารกรุงไทย แล้วก็ไม่ได้นำไปปรับโครงสร้างหนี้ และจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติม ตามเหตุผลการขอสินเชื่อ แต่นายบัญชา จำเลยที่ 3 อดีตกก.บริษัททั้งสอง กลับร่วมกับพวกนำเงินนั้นไปออกเช็ค แล้วฝากเข้าบัญชีบุคคลต่าง ๆ ก่อนจะเบิกถอนเงินสดไปซื้อขายหุ้นและที่ดิน โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งหกกับพวก และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ยื่นขอกู้ไว้

ในระหว่างนั้น พวกจำเลย ยังร่วมกันออกเช็คในนามบริษัทนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง เข้าบัญชีธนาคารของพวกจำเลยอีกหลายครั้ง

การกระทำของจำเลยทั้ง 6 กับพวกดังกล่าว จึงเป็นการโอน รับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือเพื่อซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ในความผิดมูลฐาน หรือกระทำการเพื่อปกปิด อำพรางการได้มา การโอนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อันเป็นการสมคบกันฟอกเงิน รวมทั้งสิ้น 141 กรรม

ท้ายฟ้อง อัยการโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ามความผิด และนับโทษ นายวิชัย นายรัชฎา และ นายบัญชา จำเลยที่ 1-3 คดีนี้ต่อจากโทษในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุกทั้งสามไว้คนละ 12 ปี คดีทุจริตปล่อยสินเชื่อระหว่างของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กับ กฤษดามหานครที่ศาลฎีกา ฯ พิพากษาจำคุกไว้คนละ 12 ปีด้วย จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้างต่อสู้คดีกันแล้ว เห็นว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง น่าเชื่อถือ ขณะที่พยานจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ฟังไม่ขึ้น เห็นว่า จำเลยทั้งหกกระทำผิดตามฟ้องจริง ตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ ม.5, 9, และ 60 ประมวลกฎหมายอาญา ม.83 เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ตาม ม.91 จึงมีคำพิพากษาจำคุกจำเลย ดังนี้

  • นายวิชัยจำเลยที่ 1 จำนวน 133 กรรม รวมโทษจำคุกเป็นเวลา 860 ปี
  • นายรัชฎา จำเลยที่ 2 ผิด 28 กรรม รวมจำคุก 118 ปี
  • นายบัญชาจำเลยที่ 3 ผิด 52 กรรม รวมจำคุก 416 ปี
  • น.ส.เพชรรัตน์จำเลยที่ 4 จำคุก 38 ปี
  • นายปภพจำเลยที่ 5 ทำผิด 25 กรรม รวมจำคุก 235 ปี
  • นายธีรโชติ จำเลยที่ 6 ผิด 39 กรรม รวมจำคุก 262 ปี

แต่ตามกฏหมายเมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้ลงโทษจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี คงจำคุกจำเลยทั้งหก ไว้คนละ 20 ปี

ทั้งนี้ แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์ แต่เมื่อเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจากการทุจริตปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทย ฯ ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์ได้

แต่เมื่อทรัพย์ถูกโอนย้ายไปแล้วซึ่งยากต่อการติดตามคืน จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 8,868 ล้านบาทเศษ ภายใน 30 วัน หากผิดนัดชำระให้คิดดอกเบี้ย 5% ต่อปี นับตั้งแต่วันผิดนัดชำระ และให้บังคับเอาทรัพย์สินของจำเลยได้ไม่เกินจำนวนที่แต่ละคนค้างชำระ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo