Finance

เช็คด่วน!! เปิดโผหุ้นน่าซื้อเดือนธันวาคม

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม 2561 มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งหากพิจารณาสถิติรอบ 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า ในเดือนสุดท้ายของปีผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยระดับ 1.8%  และในปีนี้ก็น่าจะมีทิศทางเดียวกัน เพราะจะปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนน่าจะเป็นเชิงบวกมากกว่า

จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่ ในเดือนธันวาคมรอบ 10 ปี ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมากกว่าลดลง โดยในปี 2551 เพิ่มขึ้น 11.17% ปี 2552 เพิ่มขึ้น 6.80% ปี 2553 เพิ่ขึ้น 2.75% ปี2554 เพิ่มขึ้น 3.01% ปี 2555 เพิ่มขึ้น 5.13% ปี 2556 ลดลง 5.28% ปี 2557 ลดลง 6.04% ปี 2558 ลดลง 5.27% ปี 2559 เพิ่มขึ้น 2.17% และปี 2560 เพิ่มขึ้น 3.32%

15723

ทั้งนี้เมื่อการสำรวจความคิดเห็นของโบรกเกอร์ที่แนะนำการลงทุนในเดือนธันวาคมพบว่า หุ้นที่น่าลงทุนในเดือนนี้จะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็นเป้าหมายการลงทุนของกระแสเงินทุนต่างชาติที่น่าจะมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังเป็นหุ้นที่บรรดากองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) จะนิยมเข้าลงทุน ขณะที่เม็ดเงินของกองทุนดังกล่าวมักจะมีมูลค่าการลงทุนในเดือนธ.ค.สูงสุดทำให้มีโอกาสหุ้นที่เป็นเป้าหมายจะปรับตัวขึ้นและสามารถสร้างผลตอบแทนให้ได้ในระดับที่ดี

บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าในเดือนธันวาคมนี้  คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,600-1,700 จุด ซึ่งประเมินระดับดัชนีที่เหมาะสมในแง่ของ มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 1,640-1,650 จุด ซึ่งเป็นระดับเทียบเท่าพีอีล่วงหน้า 14 เท่า ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนที่แบ่งขายทำกำไรไปแล้วบริเวณดัชนี 1,640-1,650 จุดตามที่แนะนำ ถือหุ้นในส่วนที่เหลือและรอขายทำกำไรหากดัชนีปรับขึ้นไปยังบริเวณกรอบแนวต้านด้านบนที่ 1,700 จุด

ฝ่ายวิจัยมองกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเดือนธันวาคม ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก เช่น ROBINS เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังคงมีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น SAT ที่ราคาปรับตัวลงมาแรงมาก สวนทางกับยอดผลิตรถยนต์ที่ยังเติบโตโดดเด่นกลุ่มพลังงาน เช่น PTTEP เนื่องจากประเมินว่าราคาน้ำมันที่ระดับปัจจุบันมี Upside มากกว่า Downside แล้ว กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL, KTB หาก กนง.มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19 ธันวาคมนี้ ซึ่งดูเหมือนจะมีโอกาสมากขึ้น ภายหลังธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ส่วนกลุ่มที่ยังคงแนะนำให้ลดน้ำหนักลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ สนามบิน สายการบิน โรงแรม รวมถึงบริษัทที่ขายสินค้าและบริการที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยสงครามการค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัวลงและกลุ่มที่อยู่อาศัย หาก กนง.มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19 ธันวาคมนี้

ทั้งนี้ มองปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ การเห็นพ้องต้องกันระหว่างสหรัฐและจีนในการเลื่อนกำหนดระยะเวลาที่สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐออกไป 90 วันจากกำหนดเวลาเดิมในวันที่ 1 มกราคม 2562 พร้อมทั้งการที่จีนรับปากจะสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐ ทั้งจำพวกเกษตร พลังงาน  เป็นต้น

15724

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐที่น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ตอบรับคำพูดในเชิง Dovish ที่มากขึ้น และจะทำให้ดัชนีมีความน่าสนใจมากขึ้นในมิติของส่วนต่างระหว่างผลกำไรของหุ้นกับผลตอบแทนพันธบัตร Earning yield gap และน่าจะทำให้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติเบาบางลงในช่วงถัดไป ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามความคาดหวังต่อการส่งสัญญาณการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การทยอยปรับลดประมาณการบจ.ของนักวิเคราะห์ ภายหลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/61 เสร็จสิ้น ทำให้ มูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยในแง่ของพีอี อาจยังดูไม่น่าสนใจมากนัก ขณะที่ภาคการผลิตทั่วโลก ที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องและอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยสงครามการค้า ตราบใดที่ดัชนีดังกล่าวยังคงปรับตัวลง มองว่าการปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังคงเป็นเรื่องยาก

บล.เอเซียพลัส ระบุว่าการลงทุน ยังเน้นไปที่หุ้น Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ ร่วมกับหุ้นปันผลสูง ร่วมกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง โดยแนวโน้ม Fund Flow ในเดือนธันวาคมนี้ คาดว่าแรงขายต่างชาติน่าจะเบาลง และมีการสลับเข้ามาซื้อบ้าง หลังสงครามการค้าจีน – สหรัฐ ผ่อนคลาย  และยังมีเม็ดเงิน LTF ที่มักเข้ามาหนาแน่นที่สุดในเดือนธันวาคมเฉลี่ย 47% ของแรงซื้อทั้งปี หรือราวๆ 3 หมื่นล้านบาท หนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และยังสอดคล้องกับสถิติในอดีตย้อนหลัง 10 ปี ที่ดัชนีหุ้นไทย มักปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.84% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 7 ใน 10 ปี

ในส่วนของมูลค่าพื้นฐานตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่และไทย อยู่ในระดับที่ไม่แพงมากนัก โดยในส่วนของ พีอีล่วงหน้าปี 2562 ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 14.6 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียที่ 14.2 เท่า และต่ำกว่าฟิลิปปินส์ที่ 15.4 เท่า แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการเกินดุลทางการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก และทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ขายหุ้นไทยในปีนี้ไปแล้วสูงถึงกว่า 2.87 แสนล้านบาท น่าจะเป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติอีกประการหนึ่ง

บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ภาพรวมการลงทุนเดือนธันวาคมจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี ฝ่ายวิจัย พบว่าดัชนี มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.80% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่จับตาการประชุม OPEC, กนง. และในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. จะครบกำหนด 90 วัน จับตาคสช.ปลดล็อดกิจกรรมพรรคการเมือง คาดส่งผลให้บรรดานักการเมืองกลับมาหาเสียงได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี ในขณะที่คาดเห็นผลการเติบโตการบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่งผลให้ภาพรวม แนะลงทุนกลุ่มค้าปลีก (BJC, CPALL)  และ กลุ่มสื่ออย่าง VGI, MACO

บล.ฟินันเซียไซรัสประเมินว่า หุ้นเด่นเดือนนี้ได้แก่ AOT, BCH, DTAC, CK, SISB  เนื่องจากแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม สดใสแม้วอลุ่มจะเบาบางลงเพราะแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่มหายไป เม็ดเงิน LTF/RMF ทยอยเข้ามา ประกอบกับราคาน้ำมันมีความเสี่ยงขาลงต่ำ เลือกตั้งมีความชัดเจน มาตรการช้อปช่วยชาติช่วยสร้างบรรยากาศ การประมูลแหล่งปิโตรเลียมรู้ผล และความคืบหน้าของโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อว่า ดัชนีมีโอกาสทดสอบ 1,730 จุดสิ้นปีเพราะ พีอี ที่ไม่แพง 13 เท่าและ Earnings yield gap ที่กว้างขึ้นเป็น 4%

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight