ในช่วงกลางปีนี้มีการคาดการณ์ว่า กฎหมายการตั้งสำรองผลตอบแทนการเกษียนอายุฉบับใหม่น่าจะประกาศใช้ภายในไตรมาส 2/2562 โดยเงื่อนไขผลตอบแทนการเกษียณอายุจะสูงขึ้นเป็น 400 วันจากเดิม 300 วัน สำหรับผู้ที่มีอายุงานมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปี ดังนั้น บริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ และมีพนักงานที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณอายุกันจำนวนมากจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในวงเงินดังกล่าวไว้ เพื่อการบริหารงานอย่างระมัดระวัง
บล.กสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่า กฎหมายใหม่น่าจะกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงสุด 5% หากตั้งสำรองค่าเบี้ย 30% แต่ผลกระทบที่แท้จริงอาจจะต่ำกว่านั้น หาก บจ.เลือกหักส่วนดังกล่าวจากส่วนผู้ถือหุ้นโดยตรง ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน
อย่างไรก็ตามล่าสุด กลุ่มบริษัทจดทะเบียน(บจ) ในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะขนาดใหญ่เริ่มมีสัญญาณแนวโน้มการตั้งสำรองเพื่อรองรับพนักงานที่เกษียณอายุระดับสูงมากขึ้น เนื่องจาก มีพนักงานจำนวนมาก โดยฝ่ายวิจัยได้ประเมินว่า ปีนี้คาดว่า บริษัทจดทะเบียนจำนวน 40 บริษัทที่จะต้องตั้งสำรองเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป มีมูลค่าเงินรวมกันอยู่ที่ประมาณ 36,748 ล้านบาท ประกอบด้วย
กลุ่มบจ.ที่คาดว่าตั้งสำรองระดับเกิน 1 พันล้านบาท ขึ้นไป ได้แก่
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT คาดว่าจะตั้งสำรองเพื่อการเกษียณอายุของพนักงาน มูลค่ารวม 7,771 ล้านบาท และผลกระทบต่อประมาณการกำไรที่ระดับ 5.5% รองลงมาเป็น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB 3,000 ล้านบาท ผลกระทบต่อกำไรประมาณ 8% บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC 2,524 ล้านบาท ผลกระทบกำไร 4.8% บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI 2,494 ล้านบาท ผลกระทบกำไร 61% บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF 2,035 ล้านบาทผลกระทบ 12.5% ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB 1,500 ล้านบาท ผลกระทบ 3.6% บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) PTTEP 1,348 ล้านบาทผลกระทบ 4.7%
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC 1,337ล้านบาทผลกระทบ 3.4% ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY 1,250 ล้านบาท ผลกระทบ 3.6% บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)TOP 1,170ล้านบาทผลกระทบ 6.4%
กลุ่มบจ.ที่คาดตั้งสำรองต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ได้แก่
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL 929 ล้านบาทผลกระทบ 4% บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) BANPU 847 ล้านบาท ผลกระทบ7.6% บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT 794 ล้านบาท ผลกระทบ 3%บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) TU 785 ล้านบาท ผลกระทบ 15% บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) IRPC 779 ล้านบาท ผลกระทบ 8.2% บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) IVL 737ล้านบาท ผลกระทบ 4.9% บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) TRUE 718 ล้านบาท ผลกระทบ 12.5% บริษัท ทุน
ธนชาต จำกัด (มหาชน) TCAP 700 ล้านบาท ผลกระทบ 9.2% บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) BDMS 669 ล้านบาท ผลกระทบ 6.7% บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP 650 ล้านบาท ผลกระทบ 14.4%
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC 619 ล้านบาท ผลกระทบ 1.8% บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) DELTA 446 ล้านบาท ผลกระทบ 6.7% บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) BJC 444 ล้านบาท ผลกระทบ 6.3% ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB 350 ล้านบาท ผลกระทบ 4.1% บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS 349 ล้านบาท ผลกระทบ 12.6% บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK 242 ล้านบาท ผลกระทบ 12.4% บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ITD 236 ล้านบาท ผลกระทบ 68.4%
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) DTAC 233 ล้านบาท ผลกระทบ 5% บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN 203ล้านบาท ผลกระทบ 1.6% TISCO 200 ล้านบาท ผลกระทบ 9.2% บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO 192 ล้านบาท ผลกระทบ 3.2% บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) BH 191 ล้านบาท ผลกระทบ 4.4% บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) BGC 159 ล้านบาท ผลกระทบ 22.9%
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) OSP 144 ล้านบาท ผลกระทบ 4.9% บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) EGCO 135 ล้านบาท ผลกระทบ 1.3% บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) JAS 134 ล้านบาท ผลกระทบ 10% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) PSH 125 ล้านบาท ผลกระทบ 2% บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) HANA 109 ล้านบาท ผลกระทบ 4.2% บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) AEONTS 100 ล้านบาท ผลกระทบ 2% บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) SPRC 100 ล้านบาท ผลกระทบ 1.8%
