‘ซีเค พาวเวอร์’ ทำไมกำไรพีค โบรกฯ ปรับเพิ่มประมาณการปี 2565 ขณะ “ธนวัฒน์” คาดไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ภาพรวมผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี น่าจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
เป็นปีที่สร้างผลการดำเนินงานได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องสำหรับ CKPower หรือ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งใช้ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า “CKP” หลังจากที่ในช่วงไตรมาส 3/2565 บริษัทมีรายได้รวม 3,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ 1,462 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ตลาดโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้น แต่ก็มีปัจจัยบวกจากปริมาณน้ำเฉลี่ยที่ไหลผ่าน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ซึ่งมากกว่าปีก่อนถึง 38% ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าใกล้เคียงกับกำลังการผลิตสูงสุดตลอดทั้งไตรมาส
ส่งผลให้ภาพรวมในช่วง 9 เดือนของปีนี้ CKPower เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 8,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ CKPower กล่าวว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้และภาพรวมผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2565 น่าจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด ที่เริ่มสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัท
ปัจจุบัน CKPower ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่างๆ 3 ประเภท จำนวน 13 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,167 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย
1. โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,900 เมกะวัตต์
2. โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จำนวน 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 238 เมกะวัตต์
3. โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 9 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 29 เมกะวัตต์
ปรับเพิ่มกำไรปี 2565 รอปัจจัยบวกโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง
หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 ออกมาดีกว่าคาดทั้งรายได้และกำไร ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปกติ ซึ่งส่งผลดีต่อโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จึงได้ปรับประมาณการกําไรปี 2565 ของ CKPower เพิ่ม 14% สู่ระดับ 2,625 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 22% จากปี 2564 พร้อมทําสถิติสูงสุดใหม่ของบริษัท
โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CKP ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 6.5 บาทต่อหุ้น ด้วยกำไรที่โดดเด่นและทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากเป็นช่วงที่ฝนตกชุก แต่อย่างไรก็ดี มองว่าปี 2566 คาดกําไรจะลดลง 8% เหลือ 2,409 ล้านบาท เพราะโรงไฟฟ้าไซยะบุรี จะมีปริมาณขายไฟกลับสู่ภาวะปกติ
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2566 ของหุ้น CKP เท่ากับ 6.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งในช่วงระยะสั้นยังต้องรอปัจจัยบวกของรอบฤดูกาลน้ำใหม่ ส่วนภาพในระยะยาวต้อรอโครงการหลวงพระบางที่จะเข้ามาหนุนการเติบโตของกําไร โดยบริษัทตั้งเป้าจะเริ่ม COD ได้ประมาณเดือนมกราคม ปี 2573
หากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มกําลังการผลิตให้ CKP ตามสัดส่วนการถือหุ้น 50% ราว 730 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต้นทุนการก่อสร้างเบื้องต้นคาดจะอยู่ราว 1.5 แสนล้านบาท คาดว่าเงินระดมทุนจะมาจากการออกหุ้นกู้ และกระแสเงินสดจากการดําเนินงาน
ทั้งนี้ คาดส่วนแบ่งกําไรจะใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าไซยะบุรี อยู่ราว 1,400-1,800 ล้านบาท ดังนั้น ประเมินมูลค่าเบื้องต้นจะหนุนราคาหุ้นราว 2.0 – 2.6 บาทต่อหุ้น และหาก discount กลับมาเป็นระยะเวลา 8 ปี (แผน COD ปี 2573) มาอยู่ในปีปัจจุบัน คาดมูลค่าส่วนเพิ่มจะอยู่ราว 1.0 – 1.4 บาทต่อหุ้น ซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่รวมไว้ในประมาณการปัจจุบัน ถือเป็น upside ส่วนเพิ่มในอนาคต
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘CKPower’ สร้างสถิติใหม่ ผลประกอบการปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
- ‘CKPower’ ตอกย้ำผู้นำโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ผ่านมาตรฐานระดับโลก ISO มุ่งสู่อนาคต ‘พลังงานสะอาด’
- ‘ซีเค พาวเวอร์’ มุ่งเป้า NET ZERO EMISSION 2050