“หมอธีระ” เผยล่าสุดมียอดผู้ติดเชื้อโควิดอยู่ที่ 114,936,822 คน เสียชีวิตรวม 2,548,336 คน พร้อมเปิดสรรพคุณด้านการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีนแต่ละชนิด หนุนฉีดเข็มเดียวจบ!
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat รายงาน ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ โดยระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 2 มีนาคม 2564… เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 286,922 คน รวมแล้วตอนนี้ 114,936,822 คน ตายเพิ่มอีก 6,140 คน ยอดตายรวม 2,548,336 คน
- อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 53,346 คน รวม 29,297,183 คน ตายเพิ่มอีก 1,159 คน ยอดตายรวม 526,914 คน
- อินเดีย ติดเพิ่ม 10,974 คน รวม 11,122,986 คน
- บราซิล ติดเพิ่ม 35,742 คน รวม 10,587,001 คน
- รัสเซีย ติดเพิ่ม 11,571 คน รวม 4,257,650 คน
- สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 5,455 คน รวม 4,182,009 คน
- อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน
- แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงบังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
- แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่ม ส่วนใหญ่หลักร้อยถึงพันกว่า แนวโน้มดูลดลง
- ในขณะที่แถบตะวันออกกลาง ประเทศส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักพัน
- เกาหลีใต้ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนสิงคโปร์ เมียนมาร์ จีน ไทย ฮ่องกง และกัมพูชา ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
หากดูตามข้อมูลวิชาการที่มีขณะนี้ ทั้งในเรื่องสรรพคุณด้านการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ และแบบไม่มีอาการ การลดความรุนแรงของโรค หรือการเสียชีวิต และผลต่อสายพันธุ์ไวรัสที่กลายพันธุ์ ดูแล้ววัคซีนของ Pfizer/Biontech, Moderna, และ Johnson&Johnson น่าจะมีข้อได้เปรียบ ตัวเลือกถัด ๆ มาคือ Novavax และ Astrazeneca
แต่หากดูเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับการเก็บรักษาและความสะดวกในการฉีด ที่ดูจะมีภาษีดีสุดคือ Johnson&Johnson เพราะฉีดเพียงครั้งเดียว และเก็บในตู้เย็นได้ ส่วนวัคซีนตัวอื่น ๆ ก็มีข้อจำกัดแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการฉีดสองครั้ง
ในขณะที่หากดูข้อมูลเรื่องความปลอดภัย จากการฉีดในสถานการณ์จริง ไม่ใช่ในงานวิจัย ขณะนี้ที่ดูมีข้อมูลเรื่องนี้และน่าจะมั่นใจได้มากคือ Pfizer/Biontech, Moderna, และ Astrazeneca
ส่วนวัคซีนอื่น ๆ นั้น หน่วยงานของแต่ละประเทศที่นำมาใช้ก็คงต้องขอรายละเอียดเชิงลึก เช่น ผลการศึกษาระยะที่ 3 อย่างละเอียด (ฉบับเต็ม) ซึ่งจะทำให้เข้าใจโครงสร้างประชากรที่ศึกษา สถานที่และวิธีการทำการวิจัยในแต่ละประเทศ ผลที่เกิดขึ้นในการวิจัยทั้งในแง่สรรพคุณและความปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังควรขอข้อมูลผลที่เกิดจากการนำไปฉีดในสถานการณ์จริงทั้งเรื่องจำนวนคนที่ได้รับ ข้อมูลประชากร สรรพคุณและความปลอดภัยในแต่ละช่วงเวลาจากระบบติดตามผลการฉีดของแต่ละประเทศด้วย
ทั้งนี้ หากได้ข้อมูลดังกล่าวมา ควรนำเสนอให้ประชาชนในประเทศได้รับทราบ หรือหากมีข้อสงสัยจะได้ซักถามจนกระจ่างก่อนตัดสินใจ
หากวิเคราะห์สถานการณ์ของเรา… ส่วนตัวแล้วประเมินว่า ถ้ามีวัคซีนที่ฉีดครั้งเดียวก็น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย เพราะจะลดปัญหาด้านภาระการติดตามคนมาฉีดเข็มสองได้อย่างมาก
ในขณะเดียวกัน การมีวัคซีนที่มีสรรพคุณสูง ทั้งในแง่การป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ และแบบไม่มีอาการ (ซึ่งช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อได้) ก็จะช่วยให้ประเทศมีต้นทุนความเข้มแข็งด้านการป้องกันการระบาดของโรคมากขึ้น โอกาสฟื้นตัวก็จะเร็วขึ้นหรือมากขึ้น
แต่หากต้นทุนความเข้มแข็งด้านการป้องกันมีจำกัด… การระบาดซ้ำก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก ฟื้นตัวได้ยากกว่า
ทั้งนี้ต้นทุนความเข้มแข็งด้านการป้องกันการระบาดนั้น มี 4 เรื่อง ได้แก่
หนึ่ง ศักยภาพของระบบการตรวจคัดกรองโรค ที่ควรทำได้มากและครอบคลุมทุกพื้นที่
สอง พฤติกรรมการป้องกันตัวของประชาชน (ใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างๆ ลดพฤติกรรมเสี่ยง และการสังเกตอาการตนเองเพื่อไปตรวจได้เร็ว)
สาม นโยบายประเทศที่ไม่นำความเสี่ยงเข้าสู่ประเทศ
และสี่ ชนิดวัคซีนที่มีใช้ในประเทศ ทั้งในเรื่องสรรพคุณ ความปลอดภัย การเข้าถึงและความครอบคลุม
ณ ปัจจุบัน ย้ำอีกครั้งว่า สถานการณ์ระบาดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ขอให้รักตัวเอง รักครอบครัว ป้องกันตัวเสมอ
ใช้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นแสงส่องทาง ตัดสินใจประพฤติปฏิบัติด้วยสติ และหลักความเป็นเหตุเป็นผล
ด้วยรักและปรารถนาดี
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘หมอธีระ’ ห่วงโควิดกลายพันธุ์!! แนะหาวัคซีนสรรพคุณสูง-ปลอดภัย
- ‘หมอธีระ’ เผย โควิดทั่วโลก ทะลุ 114 ล้าน ย้ำฉีดวัคซีน ผู้นำต้องชัดเจน เปิดเผย
- อัพเดทสถานการณ์ ‘โควิด’ วันที่ 2 มีนาคม 2564