Politics

‘เสรีพิศุทธ์’ ลั่น ‘เรือดำน้ำ’ ไม่จำเป็น ต้องยกเลิกเท่านั้นแค่เลื่อนไม่ได้!

“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” ลั่น “เรือดำน้ำ” ไม่เป็นจำเป็น แค่ชะลอการซื้อออกไป 1 ปีไม่พอ ต้องยกเลิกโครงการเท่านั้น อัด “นายกรัฐมนตรี” จะปัดความรับผิดชอบเรื่อง “คดีเหมืองทองอัครา” ไม่ได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการชะลอจัดซื้อเรือดำน้ำออกไปอีก 1 ปี ว่า กองทัพและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แพ้กระแสสังคม และกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้ จึงยอมชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไปก่อน

เรือดำน้ำ19631

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า การเลื่อนออกไป 1 ปี ไม่ใช่ทางออกเพราะความจริงต้องยุติโครงการไปเลย ต้องไม่มีการซื้อเรือดำน้ำอีกเพราะขณะนี้ประเทศชาติ มีหนี้สินมหาศาล และรัฐบาลก็ยังจะกู้เงินอีก ภาษีที่เก็บจากพี่น้องประชาชนไม่พอใช้จ่ายจึงต้องกู้มาใช้จ่าย จะเอาไปซื้อของที่ไม่จำเป็นได้อย่างไร

“ประเทศไทยไม่มีเรือดำน้ำมาตั้งนานแล้ว เพิ่งมาซื้อลำแรกในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีอะไร ยังอยู่ได้ จึงถือว่าไม่มีความจำเป็นที่จะซื้อต่อไป ตราบใดที่หนี้สินของประเทศยังไม่หมด ดังนั้นขอบอกไว้เลยว่า หากมีการนำเรื่องนี้เข้ามาสู่ที่ประชุมสภา อีกก็จะพาพี่น้องประชาชนถล่มอีก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์

ส่วนกรณีการตั้งงบประมาณเพื่อต่อสู้คดีเหมืองทองอัครา ว่า ทหารไม่มีความรู้ โดยเฉพาะความรู้ด้านกฎหมาย แต่ก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรี จึงยึดอำนาจเข้ามา ๆ แล้วก็ไม่รู้ จึงมีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปิดเหมือง ทั้งที่ความจริงเรื่องนี้เมื่อมีชาวบ้านมาร้อง ก็ควรให้อำนาจกรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร

“เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ดังนั้นไม่ว่าจะชนะคดีหรือแพ้คดี ไม่ใช่แพ้คดีแล้วมาปัดความรับผิดชอบให้เป็นเรื่องของรัฐบาลประชาชน การนำภาษีของประชาชน 389 ล้านบาทไปว่าจ้างทนาย โดยที่คุณประยุทธ์ ทำอะไรไม่ถูกต้องชอบธรรม ทำอะไรเพราะไม่รู้กฎหมาย แล้วให้พี่น้องประชาชนมารับผิดชอบหรือ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

เรือดำน้ำ1963

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของกรรมาธิการ และเป็นเรื่องของกองทัพเรือที่จะต้องไปชี้แจง เนื่องจากตนได้ให้แนวทางไปแล้วว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องรอความเห็นของ กมธ.งบประมาณฯ ก่อน

เมื่อถามว่า ทางออกคืออะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพเรือ ก็ต้องไปคุยกับทางจีนในฐานะคู่สัญญาว่า จะชะลอการจ่ายเงินในปีหน้าได้หรือไม่

เมื่อถามย้ำว่า เราจะเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำต่อเพียงแต่ชะลอการจ่ายเงินไปปีหน้าใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะไปหยุดได้อย่างไร เพราะเป็นแผนการพัฒนาของกองทัพ และที่สำคัญเรามีหลักการ และเหตุผลที่ได้ชี้แจงไปแล้ว เนื่องจากเป็นแผนงานการพัฒนาทางเรือ และต้องไปดูว่าขณะนี้สถานการณ์รอบประเทศเป็นอย่างไร

“ถึงแม้ว่าจะมองดูเหมือนว่าไกล แต่ก็ไม่ไกลมากนัก และเราก็มีการฝึกร่วมมาโดยตลอด หลายปีมาแล้วเรื่องเรือดำน้ำ แต่เราก็ไม่เคยมีเรือดำน้ำที่จะฝึกร่วมกับเขาเลย ทั้งที่เรามีพื้นที่อาณาเขตทางเรือฝั่งทะเลมากมายมหาศาลพอสมควร โดยเฉพาะ 200 ไมล์ทะเลที่เกี่ยวกับน่านน้ำของเรา ก็ต้องระมัดระวังตรงนี้เอาไว้ อย่านำการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในแต่ละช่วงมาเปรียบเทียบกัน วันนี้ต้องมองไปข้างหน้าหากช้าเกินไปอาจไม่ทันเวลา สิ่งที่มีก็เพื่อการป้องกันรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทย การประมงนอกน่านน้ำและในน่านน้ำ ปัจจุบันเราต้องใช้กองกำลังทางเรือเป็นจำนวนมาก” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามว่า ได้คุยกับ “ผบ.ทร.” อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ได้ให้แนวทางไปแล้วว่า ให้ไปคุยเจรจากับจีน ส่วนงบประมาณจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาทก็ไม่สามารถโยกไปทำอะไรได้ ก็ต้องตีตกกลับมา และเงินตัวนี้เป็นไปตามพ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังอยู่แล้วว่าจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง

เมื่อถามว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางชะลอเรื่องเรือดำน้ำ ทางพรรคเพื่อไทยได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการครอบงำระบบนิติบัญญัติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่ตนให้แนวทางกับกองทัพเรือในฐานะที่เป็นรมว.กลาโหม อยากให้เข้าใจว่าตนมีสองบทบาท โดยบทบาทแรกคือนายกรัฐมนตรี ที่ต้องรับฟังความคิดเห็นและมองให้รอบด้าน อีกบทบาทหนึ่งคือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ที่ต้องดูแลกองทัพ อะไรก็ตามที่เป็นแผนงานของกองทัพและเป็นเรื่องที่เสนอมาในกรอบวงเงินของเขาที่มีอยู่

“ตนก็บอกว่าหากมีปัญหาเช่นนี้อยากให้ลองไปเจรจากับคู่สัญญาดู เนื่องจากมติครม.มอบหมายให้กองทัพเรือไปเจรจา จะมาบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวก็มีปัญหาอีกก็ทำอะไรกันไม่ได้ ทำไมถึงไม่คิดว่าอำนาจนิติบัญญัติกำลังก้าวล่วงอำนาจบริหารบ้าง อยากให้ฟังสองทาง ถ้าเป็นเรื่องที่เสนอใหม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้มีการอนุมัติไว้แล้วชั้นต้นก็ต้องไปหารือกับมิตรประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo