Politics

‘วิโรจน์’ อภิปรายเดือด!! ฉะรัฐบาลจัดงบไม่ตรงวิกฤติ ลั่นถึงตายไปก็ไม่เห็นด้วย!

“วิโรจน์” อภิปรายเดือด!! ฉะรัฐบาลจัดงบไม่ตรงวิกฤติการศึกษา เหมือนป่วยเป็นโรคร้ายแต่ให้กินแค่ยาพารา ลั่นถึงตายไปก็ยังไม่เห็นด้วยกับร่างงบประมาณนี้

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่า ที่ผ่านมาจนถึงปีงบประมาณ 2567 นี้กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจัง เหมือนการป่วยเป็นโรคร้ายแต่ให้กินแค่ยาพารา ปล่อยให้ลุกลามแล้วตายไปเองตามยถากรรม ซึ่งการควบรวมโรงเรียนไม่เคยสำเร็จตามเป้าหมาย แถมมีแนวโน้มว่าจะควบรวมน้อยลงเรื่อย ๆ ราวกับว่าจะไม่แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว

วิโรจน์

จากปี 2563 มีเป้าที่จะควบรวม 400 แห่ง แต่ทำได้แค่ 169 แห่ง ในปี 2564-2566 มีการปรับเป้าหมายลงมาอีกเหลือ 350 แห่ง แต่ควบรวมได้ไม่มาก แต่มาปี 2567 ปรับเป้าหมายเหลือเพียง 200 แห่ง หากพิจารณาจากงบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีความสำคัญในการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ที่เอาไว้จ่ายค่าพาหนะจ่ายหาบริหารจัดการรถโรงเรียนให้กับโรงเรียนที่ถูกควบรวมที่มีความคงตัว อยู่ที่ 272-286 ล้านบาท แต่ในปี 2567 นั้นงามไส้ปรับเป้าหมายลงแล้วแต่ยังกล้าของบเท่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามถ้าจะแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กงบบริหารจัดการจะต้องมากกว่าหลักร้อยล้านอยู่แล้ว

ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่งบหลักร้อยล้านจะเอาไปแก้ปัญหาวิกฤตนี้ได้ และนี่จึงสะท้อนได้ว่ารัฐบาลนายเศรษฐาไม่ได้มองปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กเป็นวิกฤติ เรียกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญเลย นอกจากจะควบรวมโรงเรียนไม่ได้ตามเป้าแล้ว ยังจะไปสร้างข้อพิพาทกับคนในชุมชนอีก ต้องยอมรับว่าโรงเรียนมีความผูกพันกับวิถีของชุมชน เพราะโรงเรียนบางแห่งเกิดขึ้นจากบรรพบุรุษสร้างมากับมือ โรงเรียนไหนถูกควบรวมก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไม่มีแผนการถ่ายโอนให้กับท้องถิ่น ไม่มีงบสนับสนุนเพื่อนำสถานที่ไปใช้ในการอื่นเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชน

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า กระทรวงศึกษาธิการรู้อยู่แก่ใจว่าทางออกเรื่องนี้ไม่ใช่การจ่ายค่าชดเชยยานพาหนะ แต่ต้องเป็นการจัดรถโรงเรียนเพื่อให้เด็กทุกคนที่อยู่ไหนจังหวัดนั้น สามารถเดินทางไปโรงเรียนที่ตอบโจทย์ของเขาได้ และทำควบคู่กันไปคือการถ่ายโอนโรงเรียนที่ควบรวมให้กับท้องถิ่นพร้อมกับจัดงบอุดหนุนอาจจะเป็นแห่งละ 1 ล้านบาทเพื่อให้ท้องถิ่นนำงบนี้ไปปรับปรุงสถานที่

วิโรจน์

“ถ้ายังควบรวมตามยถากรรม ผมคำนวณว่าเราจะใช้เวลาในการแก้ปัญหานี้ถึง 91 ปี และต้องถูกผลการทดสอบ PISA ประจานประเทศไปในเวทีโลกอย่างน้อย 30 ครั้ง ถ้าเราไม่กล้าหาญและบอกปัญหาตรง ๆ เพราะถ้าเราไม่ยอมแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กจริง ๆ เราจะไม่มีวันยกระดับการศึกษาของไทยได้เลย ด้าน TDRI ก็ยืนยันว่าเหตุที่ PISA เราตกต่ำมาจากโรงเรียนขนาดเล็ก” นายวิโรจน์ กล่าว

ทั้งนี้ พบว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลางที่ 13,600 บาทต่อคนต่อปี ถ้าเราแก้ปัญหานี้ได้เราจะประหยัดงบได้ถึงปีละ 12,985 ล้านบาท และเมื่อเอามารวมกับการปรับลดงบแผนงานและงบรายจ่ายอื่นรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน จะทวีสินแน่นอน เพราะจะมีเงินจัดสรรได้ใหม่ถึง 15,102 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้บอกกับประชนว่า ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติในมิติการศึกษา แต่ผมก็ยอมรับว่าวิกฤติจริง ๆ แต่ทำไมจัดงบออกมาเช่นนี้ งบแบบนี้เหมือนกำลังบอกให้พ่อแม่ทุกคนยอมให้ลูกหลานของตัวเองเรียนหนังสือแบบเดิม ๆ ในระบบการศึกษาที่สิ้นหวัง ยอมจำนนให้กับอำนาจนิยมกดขี่ ยอมให้ลูกหลานเรียนหลักสูตรที่ไม่ได้ปรับ เป็นหลักสูตรล้างสมอง

“สุดท้ายเด็ก ๆ เติบโตมาเป็นคนที่ไม่กล้าคิดไม่กล้าฝันไม่กล้าตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ เป็นเหมือนบ่าวไพร่ที่ทำงานตามนายสั่งในประเทศที่ต้องคำสาปแห่งนี้ และนี่คือเหตุผลที่ผม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตายกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไรก็ยังเป็นวิโรจน์ไม่สามารถเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 2567 ฉบับนี้ได้” นายวิโรจน์ กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK