Politics

‘วิโรจน์’ ชี้กรณีชั้น 14 ควรเป็นบรรทัดฐาน ผู้ต้องขังทุกคนต้องเท่าเทียม

“วิโรจน์” ชี้กรณีชั้น 14 ควรเป็นบรรทัดฐาน ที่ผู้ต้องขังทุกคนสามารถใช้สิทธิได้อย่างเท่าเทียมกัน จี้ “ป.ป.ช.-ผู้ตรวจการฯ” ตรวจสอบ

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า กรณีชั้น 14 ควรเป็นบรรทัดฐาน ที่ผู้ต้องขังทุกคนสามารถใช้สิทธิได้อย่างเท่าเทียมกัน ต้องยืนยันให้ทุก ๆ ท่านทราบก่อนว่า ผมไม่ได้เห็นแย้งกับกรณีการส่งตัวคุณทักษิณ ที่มีอาการป่วยหนักตามคำวินิจฉัยของแพทย์ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาที่เหนือกว่า รพ.ราชทัณฑ์ และไม่เห็นแย้งเลยหากคุณทักษิณจะได้รับสิทธิในการถูกคุมขังนอกเรือนจำ ในเวลาต่อมา

วิโรจน์

เพราะผมยืนยันมาโดยตลอดว่า กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวที่กระทำต่อคุณทักษิณ คือ ความอยุติธรรม และสิ่งที่คุณทักษิณควรได้รับคือ “ความเป็นธรรม” และเพื่อให้สิ่งที่คุณทักษิณได้รับเป็น “ความเป็นธรรม” ระเบียบหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ให้สิทธิแก่คุณทักษิณ ไม่ว่าจะเป็น การส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก หรือการถูกคุมขังนอกเรือนจำ จะต้องเป็นระเบียบที่มีความชัดเจน มีหลักเกณฑ์ที่มีกลไกตรวจสอบถ่วงดุล ที่ไม่นำไปสู่ปัญหาการเลือกปฏิบัติ การสั่งการอย่างไม่เป็นธรรม และการเรียกรับผลประโยชน์ ที่อาจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันกับคุณทักษิณ มิฉะนั้นสิ่งที่คุณทักษิณได้รับในวันนี้ จะกลายเป็น “อภิสิทธิ” หาใช่ “ความเป็นธรรม” ไม่

ผมคิดว่าควรมีการปรับแก้กฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ให้มีความชัดเจน โดยระบุให้ชัดไปเลยว่า “ถ้าผู้ต้องขังต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน โดยสถานพยาบาลของเรือนจำไม่มีแพทย์เฉพาะด้านนั้น หรือไม่มีเวชภัณฑ์ หรือเครื่องมือในการรักษาการเจ็บป่วยนั้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรับการรักษาในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษาโรคชนิดนั้น” เพื่อให้ผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ตรงกับอาการเจ็บป่วยของตน

สำหรับกรณีห้องพักชั้น 14 ของ รพ.ตำรวจ ที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ ก็ต้องยืนยันว่าตามกฎกระทรวงฯ ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป” แต่เข้าใจว่ารัฐบาลได้ชี้แจงว่า ชั้น 14 ของ รพ.ตำรวจ นั้นได้ถูกใช้เป็นสถานพยาบาลทั่วไปแล้ว ไม่ได้เป็นห้องพักพิเศษแต่อย่างใด ในกรณีนี้ ก็ควรมีระเบียบออกมาให้ชัดว่า ห้องพักชั้น 14 ของ รพ.ตำรวจ นั้นกรมราชทัณฑ์ จะใช้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวด้วยโรคชนิดใด หรือต้องมีอาการเจ็บป่วยอย่างไร ถึงจะได้รับการส่งตัวไปยังห้องพักชั้น 14 ของ รพ.ตำรวจ เพื่อให้ผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ที่มีอาการเจ็บป่วย ที่อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันกับคุณทักษิณ สามารถใช้สิทธิขอเข้าพักรักษาตัวที่ห้องพักชั้น 14 ของรพ.ตำรวจได้บ้าง ถ้าหากไม่มีระเบียบที่ชัดเจนออกมา ก็ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบที่ห้องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่จบไม่สิ้น

วิโรจน์

สำหรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ระเบียบฉบับนี้ ครอบคลุมถึง การคุมขังนอกเรือนจำ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงขั้นตอนในการขออนุญาต ก็พบว่ามีปัญหาในเรื่องความโปร่งใสอยู่มาก ซึ่งควรพิจารณาแก้ไขอย่างเร่งด่วน

กล่าวคือ คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง ซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองว่าผู้ต้องขังรายใด ควรได้รับสิทธิในการถูกคุมขังนอกเรือนจำ เป็นคณะทำงานที่ประกอบด้วย รองอธิบดีที่กำกับดูแลกองทัณฑวิทยาเป็นประธาน ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา ผู้อำนวยการกองทัณฑปฏิบัติ ผู้อำนวยการกองพัฒนาพฤตินิสัย ผู้อำนวยการกองบริการทางการแพทย์ และผู้อำนวยการ กองกฎหมาย และบุคคลภายนอกซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากบุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุข 1 คน และด้านสังคมสงเคราะห์หรืออุตสาหกรรม 1 คน เป็นคณะทำงาน โดยมีผู้อำนวยการกลุ่มงานมาตรการ ควบคุมผู้ต้องขัง สังกัดกองทัณฑวิทยา เป็นคณะทำงานและเลขานุการ และข้าราชการสังกัดกองทัณฑวิทยาที่ได้รับมอบหมายอีกไม่เกิน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการให้คณะทำงาน

องค์ประกอบของคณะทำงานจะมีแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และบุคคลที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์แต่งตั้ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติอีกด้วย

เท่ากับว่าระเบียบฉบับนี้ให้อำนาจการพิจารณาแก่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลใด ๆ ผมต้องบอกก่อนว่า ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของการคุมขังนอกเรือนจำ สำหรับผู้ต้องขังที่สูง มีโรคประจำตัวเรื้อรัง โทษที่เหลืออยู่ไม่มาก ไม่พบพฤติกรรมหลบหนี และไม่พบว่ามีพฤติกรรมที่อาจส่งผลเชิงลบต่อสังคมได้อีก ผู้ต้องขังเหล่านี้ ก็อาจไม่มีความจำเป็นต้องถูกคุมขังในเรือนจำอีกต่อไป ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดของเรือนจำไปด้วยโดยปริยาย

วิโรจน์
นายทักษิณ ชินวัตร

แต่ถ้าเราปล่อยให้ระเบียบที่ขาดกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลแบบนี้ ถูกบังคับใช้ ในภายหลังจะนำมาซึ่งปัญหาที่ใหญ่หลวงตามมา เพราะผู้มีอิทธิพล มาเฟียข้ามชาติ ที่ร่ำรวย จะสามารถวิ่งเต้นเสนอผลประโยชน์ หรือวิ่งเต้นขอใบสั่งจากผู้มีอำนาจ เพื่อให้ตน หรือพวกของตน ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ ทีนี้ล่ะครับระเบียบฉบับนี้ ก็จะกลายเป็นระเบียบ #คุกมีไว้ขังคนจน ทันที

ผมจึงคิดว่า สำหรับกฎกระทรวง และระเบียบที่พบว่าอาจมีปัญหาเหล่านี้ จึงควรมีการทำหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อให้ ป.ป.ช. ใช้อำนาจตาม มาตรา 32(3) ในการเสนอแนะต่อรัฐบาลให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวง และระเบียบดังกล่าว หากพบว่ามีช่องทางให้มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ตลอดจนใช้อำนาจตามมาตรา 35 ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณีของชั้น 14 รพ.ตำรวจ เพื่อยืนยันว่าห้องพักชั้น 14 นั้นยังคงเป็นห้องพักพิเศษอยู่หรือไม่ หรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นสถานพยาบาลทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ก็ควรทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาใช้อำนาจตาม มาตรา 22, 32 และ 33 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และมีการเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวง และระเบียบ ฉบับดังกล่าว หากพบว่ามีขั้นตอนใดก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน

เมื่อ ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการตรวจสอบจนสิ้นข้อสงสัย และพิจารณาดำเนินการตามสมควร ก็จะทำให้ข้อสงสัย และการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และจะทำให้กฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ และระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง ได้รับการปรับปรุงให้มีความเป็นธรรม และเกิดประโยชน์แก่ผู้ต้องขังทุกคนอย่างเสมอภาคกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK