General

กรมทางหลวงเพิ่มอีก 6 เส้นทาง ใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. เริ่ม 1 ก.ย.

กรมทางหลวง เพิ่มอีก 6 เส้นทาง ใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เริ่ม 1 กันยายนนี้ หลังเปิดเส้นทางนำร่องช่วงหมวดทางหลวงบางปะอิน – ทางต่างระดับอ่างทอง เมื่อต้นเมษายน 2564

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ออก “กฎกระทรวง กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564” และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ซึ่งภายหลังจากที่กระทรวงคมนาคม ได้เปิดให้ผู้ขับขี่รถใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนทางหลวงหมายเลข 32 หรือถนนสายเอเชีย ช่วงหมวดทางหลวงบางปะอิน ถึงทางต่างระดับอ่างทอง เป็นเส้นทางแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ตามนโยบายการปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์ จากความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

กรมทางหลวง

กรมทางหลวงได้กำหนดเส้นทางเพิ่มเติม โดยให้ครอบคลุมเส้นทางในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เพื่อประกาศใช้ในระยะที่ 2 โดยได้ข้อสรุป 6 เส้นทาง มีผลเริ่มใช้ได้ในวันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ได้เน้นย้ำให้ ทล. ปรับปรุงเพิ่มมาตรฐานทางกายภาพให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ได้แก่ เสริมการก่อสร้างอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างทาง (Concrete Barrier) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเนื่องจากการเสียหลักข้ามเกาะกลาง ปรับปรุงจุดกลับรถระดับราบ เพื่อลดการตัดกันของกระแสจราจร ติดตั้งป้ายจราจรและป้ายเปลี่ยนข้อความได้เพื่อสื่อสารการใช้ความเร็วที่เหมาะสมในช่วงถนนและช่องจราจร รวมทั้งติดตั้งแถบเตือน Rumble Strips บอกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการเข้าเขตควบคุมความเร็วด้วย

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า สำหรับเส้นทางนำร่อง ระยะที่ 2 ทั้ง 6 เส้นทาง ที่จะเริ่มใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ ในวันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1. ทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ตอนบ่อทอง – มอจะบก ระหว่าง กม. ที่ 74+500 ถึง กม. ที่ 88+000 แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 2 ทั้งขาเข้าและขาออก 6 ช่องจราจร ระยะทาง 13.500 กิโลเมตร

2. ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ตอนหางน้ำหนองแขม – บ้านหว้า – วังไผ่ ระหว่าง กม. ที่ 306+640 ถึง กม. ที่ 330+600 แขวงทางหลวงนครสวรรค์ที่ 1 ทั้งขาเข้าและขาออก 8 ช่องจราจร ระยะทาง 23.960 กิโลเมตร

3. ทางหลวงหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) ตอนอ่างทอง – ไชโย – สิงห์ใต้ – สิงห์เหนือ – โพนางดำออก ระหว่าง กม. ที่ 50+000 ถึง กม. ที่ 111+473 แขวงทางหลวงอ่างทอง และแขวงทางหลวงสิงห์บุรี ทั้งขาเข้าและขาออก 6 และ 8 ช่องจราจร ระยะทาง 61.473 กิโลเมตร

4. ทางหลวงหมายเลข 1 ตอนสนามกีฬาธูปเตมีย์ – ต่างระดับคลองหลวง – ประตูน้ำพระอินทร์ ระหว่าง กม. ที่ 35+000 ถึง กม. ที่ 45+000 แขวงทางหลวงปทุมธานี ทั้งขาเข้าและขาออก 6 ช่องจราจร ระยะทาง 10.000 กิโลเมตร

5. ทางหลวงหมายเลข 34 (ถนนบางนา – ตราด) ตอนบางนา – ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กม. ที่ 1+500 ถึง กม. ที่ 15+000 แขวงทางหลวงสมุทรปราการ ทั้งขาเข้าและขาออก 8 ช่องจราจร ระยะทาง 13.500 กิโลเมตร

6. ทางหลวงหมายเลข 304 (ถนนสุวินทวงศ์) ตอนคลองหลวงแพ่ง – ฉะเชิงเทรา ระหว่าง กม. ที่ 53+300 – กม. ที่ 58+320 และ กม. ที่ 62+220 – กม. ที่ 63+000 แขวงทางหลวงฉะเชิงเทรา ทั้งขาเข้าและขาออก ระยะทาง 5.800 กิโลเมตร

ยทั้ง 6 เส้นทางกำหนดให้ใช้อัตราเร็วสูงสุดไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่องทางขวาสุด ยกเว้นกรณีเหตุฉุกเฉิน เช่น การจราจรติดขัด หรือรถเสีย

ทั้งนี้ ทล. ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยได้ปรับปรุงทางกายภาพของถนนทั้ง 6 เส้นทางให้มีความพร้อมรองรับการใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัย เช่น ปิดจุดกลับรถพื้นราบ ให้ใช้จุดกลับรถใต้สะพานหรือทางยกระดับ ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ติดตั้งกล้องวงจรปิด และอุปกรณ์ตรวจจับความเร็ว ป้ายเตือน ป้ายจราจรต่าง ๆ รวมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจังหวัด ตำรวจในพื้นที่ และตำรวจทางหลวง เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

Avatar photo