General

WHO ชี้ โรคหัดระบาด เพราะไม่ได้ฉีดวัคซีน ส่วนไทยยังไม่อยู่ในสถานะกำจัดโรคหัดได้

WHO ชี้ โรคหัดระบาด เพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนช่วงโควิดระบาด หากไม่เร่งป้องกันสิ้นปี 2567 ครึ่งโลกเสี่ยงสูงต่อการระบาด ส่วนไทยยังไม่อยู่ในสถานะกำจัดโรคหัดได้

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า ไวรัสที่ก่อโรคฝีดาษ โปลิโอ หัด และหัดเยอรมัน: ความท้าทายในการกำจัดโรคติดเชื้อไวรัสที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ไวรัสทั้ง 4 มีจุดร่วมที่สำคัญหลายประการ: เกิดจากเชื้อไวรัสที่แพร่จากคนสู่คนผ่านการสัมผัสใกล้ชิด ละอองฝอย หรือสารคัดหลั่ง และไม่มีสัตว์เป็นพาหะนำโรค ดังนั้น หากสามารถหยุดการแพร่เชื้อในมนุษย์ได้ จะสามารถกำจัดโรคเหล่านี้ได้อย่างถาวร (Eradication)

โรคหัด

หากไม่เร่งป้องกัน สิ้นปีนี้ครึ่งโลกเสี่ยงสูงโรคหัดระบาด

องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า หากไม่มีมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ภายในสิ้นปีนี้ กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศทั่วโลกจะเสี่ยงสูงหรือสูงมากต่อการระบาดของโรคหัด

ซึ่งเคยระบาดไปทั่วโลกแล้วในอดีต มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหัดทั่วโลก 207,500 ราย หมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหัดทั่วโลกมากกว่า 500 คนในทุกๆ วันในช่วงปี 2019

การที่จำนวนผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค ส่วนใหญ่เกิดจากการพลาดการฉีดวัคซีนในช่วงโควิด-19 ที่ระบบสาธารณสุขล้นและล่าช้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามปกติ

ดร. นาตาชา โครว์ครอฟต์ ที่ปรึกษาด้านเทคนิคอาวุโส – การควบคุมโรคหัดและหัดเยอรมันที่ กล่าวว่าองคืการอนามัยโลกกังวลว่าในปี 2024 จะมีช่องว่างใหญ่ในโปรแกรมสร้างภูมิคุ้มกัน และหากไม่รีบเติมวัคซีนให้เร็วที่สุด โรคหัดจะระบาดขึ้นทันที

ข้อมูลจาก WHO และ CDC ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ภายในสิ้นปีนี้ กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศทั่วโลกจะมีความเสี่ยงสูงหรือสูงมากต่อการระบาดของโรคหัด

WHO เรียกร้องให้ดำเนินการเร่งด่วนเพื่อปกป้องเด็ก โดยกล่าวว่ารัฐบาลขาดความมุ่งมั่น เนื่องจากมีประเด็นอื่นๆ ที่แข่งขันกัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจและความขัดแย้ง

โรคหัดติดต่อง่าย โดยเฉพาะในเด็ก ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โรคหัดเป็นไวรัสที่ติดต่อทางอากาศได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะส่งผลกระทบต่อเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน 2 โดส และตั้งแต่ปี 2000 สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้กว่า 50 ล้านคน

ปีที่แล้ว จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 79% เป็นกว่า 300,000 ราย ตามข้อมูลของ WHO ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของจำนวนทั้งหมด

อัตราการเสียชีวิตจะสูงกว่าในประเทศที่ยากจนเนื่องจากระบบสาธารณสุขที่อ่อนแอ WHO กล่าวเสริมว่า การระบาดและการเสียชีวิตยังเป็นความเสี่ยงสำหรับประเทศที่มีรายได้ปานกลางและสูง

“เรามีการระบาดของโรคหัดหลายครั้งทั่วโลก และประเทศรายได้ปานกลางได้รับผลกระทบอย่างมาก และเรากังวลว่าปี 2024 จะเป็นเหมือนปี 2019”

ในปี 2019 องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหัดทั่วโลก 207,500 ราย ซึ่งลดลง 50% จากที่ประมาณการณ์ไว้ 535,600 รายในปี 2000 อย่างไรก็ตาม นี่ยังหมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหัดมากกว่า 500 คนในทุกๆ วันในปี 2019 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

การฉีดวัคซีนยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันโรคหัดและภาวะแทรกซ้อนของโรค วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยการฉีดสองเข็มจะให้การป้องกันโรคหัดได้ประมาณ 97%

โรคหัด

ไทยยังไม่อยู่ในสถานะกำจัดโรคหัดได้

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้คำแถลงเกี่ยวกับไวรัสฝีดาษ โปลิโอ หัด และหัดเยอรมัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและความท้าทายในการกำจัดโรคติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ องค์การอนามัยโลกประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกำจัดไปแล้วทั่วโลกตั้งแต่ปี 1980 ในขณะที่มีเป้าหมายในการกำจัดโปลิโอทั่วโลกและกำลังทำงานร่วมกับประเทศต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

สำหรับหัดและหัดเยอรมัน องค์การอนามัยโลกเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการระบาดของโรคและลดการเสียชีวิต รวมถึงการป้องกันกลุ่มอาการรูเบลลาแต่กำเนิด (congenital rubella syndrome) ในทารกแรกเกิด

กรมควบคุมโรคของไทยได้พัฒนาเครือข่ายงานกำจัดและกวาดล้าง “โปลิโอ-หัดและหัดเยอรมัน” ตามพันธสัญญานานาชาติ  โดยไทยต้องระวังโปลิโอสายพันธุ์ธรรมชาติและกลายพันธุ์จากวัคซีนที่ให้ไม่ครอบคลุม

ล่าสุดประชุมประเทศสมาชิกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ **ไทยยังไม่อยู่ในสถานะกำจัดโรคหัดได้** เร่งดำเนินการให้อยู่ในเกณฑ์อีก 3 ปีข้างหน้า

กระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายมีความมุ่งมั่นในการเร่งรัดกำจัดและกวาดล้างโรคตามพันธสัญญานานาชาติ เช่น โปลิโอ มีเป้าหมายกวาดล้างเป็นโรคที่ 2 ต่อจากไข้ทรพิษ รวมทั้งการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมัน และโรคอื่นๆที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน การให้วัคซีนเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุดในการป้องกันโรค

โดยประชาชนจะได้รับวัคซีนตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค  เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องจึงร่วมกันดำเนินการให้บริการวัคซีนพื้นฐานตามเกณฑ์อย่างน้อย 95% ในวัคซีนโรคหัดและหัดเยอรมัน รวมทั้งคางทูม และ 90% เป็นอย่างน้อยสำหรับวัคซีนอื่นๆ

ประชากรโลกมากกว่าครึ่งเผชิญความเสี่ยงสูงต่อโรคหัด

องค์การอนามัยโลกยังระบุว่า “ประชากรโลกมากกว่าครึ่งเผชิญความเสี่ยงสูงต่อโรคหัด” ชี้ให้เห็นความจริงอันยากลำบากที่เด็ก ครอบครัว และชุมชนจำนวนมากทั่วโลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น โรคหัด สิ่งนี้ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าถึงบริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม เพื่อปกป้องประชากรกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด

แม้ว่าไวรัสฝีดาษ โปลิโอ หัด และหัดเยอรมันจะมีความแตกต่างกันในหลายแง่มุม แต่ก็มีจุดร่วมที่สำคัญหลายประการ โรคทั้งสี่เกิดจากเชื้อไวรัสต่างตระกูลหรือวงค์ (Family) ที่แพร่จากคนสู่คนผ่านการสัมผัสใกล้ชิด ละอองฝอย หรือสารคัดหลั่ง และไม่มีสัตว์เป็นพาหะนำโรค ดังนั้น **หากสามารถหยุดการแพร่เชื้อในมนุษย์ได้ ก็จะสามารถกำจัดโรคเหล่านี้ได้อย่างถาวร**

โรคหัด

วัคซีนเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาด

ปัจจุบันมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคทั้งสี่นี้ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการเข้าถึงวัคซีนในบางพื้นที่ และความลังเลในการรับวัคซีนของบางกลุ่มประชากร ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการกำจัดโรคเหล่านี้

เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ จะเกิดภาวะไวรัสในกระแสเลือด (viremia) และมีระยะฟักตัวก่อนที่จะแสดงอาการ การวินิจฉัยโรคสามารถทำได้โดยการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยเทคนิค PCR อย่างไรก็ตาม ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับรักษาโรคเหล่านี้ การรักษาหลักจึงเป็นการดูแลตามอาการและรักษาภาวะแทรกซ้อน

นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนแล้ว มาตรการป้องกันแบบไม่ใช้ยา (non-pharmaceutical interventions) เช่น การแยกผู้ป่วย การปรับปรุงสุขอนามัย เช่น กินร้อน ช้อนกลาง สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม และการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเหล่านี้

ในการบรรลุเป้าหมายการกำจัดโรคติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ทั่วโลก จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก การเข้าใจถึงจุดร่วมและความแตกต่างของโรคเหล่านี้ รวมถึงการนำแนวทางขององค์การอนามัยโลกมาปฏิบัติใช้ จะช่วยให้สามารถพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมและกำจัดโรคได้ในที่สุด ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสุขภาพของประชากรทั่วโลก

เปรียบเทียบลักษณะไวรัส 4 โรค

เปรียบเทียบลักษณะของไวรัสฝีดาษ โปลิโอ หัด และหัดเยอรมัน (Smallpox, Polio, Measles, and Rubella Viruses) โดยละเอียด

ไวรัสที่เป็นสาเหตุ:

  • ฝีดาษ (Smallpox): ไวรัสวาริโอลา (ออร์โทพอกซ์ไวรัส) (Variola virus (Orthopoxvirus))
  • โปลิโอ (Polio): ไวรัสโปลิโอ (เอนเทอโรไวรัส) (Poliovirus (Enterovirus))
  • หัด (Measles): ไวรัสหัด (มอร์บิลลิไวรัส) (Measles virus (Morbillivirus))
  • หัดเยอรมัน (Rubella): ไวรัสรูเบลลา (รูบิไวรัส) (Rubella virus (Rubivirus))

วงศ์ (Family):

  • ฝีดาษ: พอกซ์ไวริดี (Poxviridae)
  • โปลิโอ: พิคอร์นาไวริดี (Picornaviridae)
  • หัด: พาราไมโซไวริดี (Paramyxoviridae)
  • หัดเยอรมัน: โทกาไวริดี (Togaviridae)

การแพร่เชื้อ:

  • ฝีดาษ: จากคนสู่คนผ่านการสัมผัสใกล้ชิดหรือวัตถุที่ปนเปื้อน
  • โปลิโอ: จากคนสู่คนผ่านเส้นทางปากและอุจจาระ รวมทั้งสิ่งแวดล้อม เช่นแหล่งน้ำเสีย
  • หัด: จากคนสู่คนผ่านละอองฝอยจากทางเดินหายใจ
  • หัดเยอรมัน: จากคนสู่คนผ่านละอองฝอยจากทางเดินหายใจหรือการสัมผัสใกล้ชิด

พาหะนำโรคในสัตว์ (Animal Reservoir):

  • ฝีดาษ: ไม่มี
  • โปลิโอ: ไม่มี
  • หัด: ไม่มี
  • หัดเยอรมัน: ไม่มี

ความพร้อมของวัคซีน:

  • ฝีดาษ: มี (โรคถูกกำจัดแล้ว)
  • โปลิโอ: มี
  • หัด: มี รวมอยู่ในวัคซีน MMR
  • หัดเยอรมัน: มี รวมอยู่ในวัคซีน MMR

อัตราการเสียชีวิต:

  • ฝีดาษ : สูง ประมาณ 30%
  • โปลิโอ: ต่ำ น้อยกว่า 1% ในกรณีที่มีอัมพาต
  • หัด: ต่ำ ประมาณ 0.2% ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่สูงกว่าในประเทศกำลังพัฒนา
  • หัดเยอรมัน: ต่ำมาก แทบไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากหัดเยอรมัน

การระบาดไปทั่วโลก (Pandemic Potential):

  • ฝีดาษ: เคยเกิดการระบาดไปทั่วโลกในอดีต ก่อนที่จะถูกกำจัด
  • โปลิโอ: ไม่เคยเกิดการระบาดไปทั่วโลกในระดับ pandemic
  • หัด: เคยเกิดการระบาดไปทั่วโลกในอดีต และยังคงพบการระบาดในบางพื้นที่
  • หัดเยอรมัน: ไม่เคยเกิดการระบาดไปทั่วโลกในระดับ pandemic

การระบาดเป็นโรคประจำถิ่น (Endemicity):

  • ฝีดาษ: ไม่มีการระบาดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว เนื่องจากถูกกำจัดไปแล้ว
  • โปลิโอ: ยังคงมีการระบาดเป็นโรคประจำถิ่นในบางประเทศ เช่น อัฟกานิสถานและปากีสถาน
  • หัด: มีการระบาดเป็นโรคประจำถิ่นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกาและเอเชีย
  • หัดเยอรมัน: มีการระบาดเป็นโรคประจำถิ่นในบางประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ

ความรุนแรง (Severity):

  • ฝีดาษ: อัตราการเสียชีวิตสูง
  • โปลิโอ: สามารถทำให้เกิดอัมพาตได้
  • หัด: สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็ก
  • หัดเยอรมัน: อาการไม่รุนแรงในเด็ก แต่อันตรายต่อทารกในครรภ์

ระยะฟักตัว (Incubation Period):

  • ฝีดาษ: 7-17 วัน
  • โปลิโอ: 3-35 วัน
  • หัด: 7-21 วัน
  • หัดเยอรมัน: 14-21 วัน

อาการ (Symptoms):

  • ฝีดาษ: มีไข้ ผื่น ปวดตามร่างกาย
  • โปลิโอ : มีไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ อัมพาต
  • หัด: มีไข้ ไอ มีน้ำมูก ผื่น
  • หัดเยอรมัน: มีไข้ต่ำ ผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดข้อ

โรคหัด

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:

  • ฝีดาษ: การตรวจหาไวรัสหรือแอนติบอดีจากตัวอย่างทางคลินิก
  • โปลิโอ: การตรวจหาไวรัสจากอุจจาระหรือน้ำไขสันหลัง การตรวจหาแอนติบอดี
  • หัด: การตรวจหาไวรัสหรือแอนติบอดีจากตัวอย่างทางคลินิก
  • หัดเยอรมัน: การตรวจหาไวรัสหรือแอนติบอดีจากตัวอย่างทางคลินิก

การตรวจด้วย ATK (Rapid Antigen Test) ในประเทศไทย:

  • ฝีดาษ: ไม่มี
  • โปลิโอ: ไม่มี
  • หัด: ไม่มี
  • หัดเยอรมัน: ไม่มี

การตรวจด้วย PCR (PCR Testing):

  • ฝีดาษ: สามารถตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสได้
  • โปลิโอ: สามารถตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสได้
  • หัด: สามารถตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสได้
  • หัดเยอรมัน: สามารถตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสได้

การใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral Treatment):

  • ฝีดาษ : ไม่มี
  • โปลิโอ: ไม่มี
  • หัด: ไม่มี
  • หัดเยอรมัน: ไม่มี

การป้องกัน (Prevention):

  • ฝีดาษ: ฉีดวัคซีน (ปัจจุบันไม่ได้ให้เป็นประจำแล้ว)
  • โปลิโอ: ฉีดวัคซีน
  • หัด: ฉีดวัคซีน MMR
  • หัดเยอรมัน: ฉีดวัคซีน MMR

การป้องกันแบบ Non-pharmaceutical interventions (NPI):

ฝีดาษ:

  • การแยกผู้ป่วยและกักกันผู้สัมผัส
  • มาตรการควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาล
  • การเฝ้าระวังและติดตามผู้สัมผัส

โปลิโอ (Polio):

  • การปรับปรุงสุขาภิบาลและสุขอนามัย
  • การส่งเสริมการล้างมือ
  • การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา

หัด :

  • การแยกผู้ป่วยในช่วงที่มีอาการ
  • การส่งเสริมการระบายอากาศที่ดีในพื้นที่ปิด
  • การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา

หัดเยอรมัน:

  • การแยกผู้ป่วยในช่วงที่มีอาการ
  • การป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง
  • การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา โดยเฉพาะในสตรีตั้งครรภ์

การรักษา (Treatment):

  • ฝีดาษ: การดูแลตามอาการ
  • โปลิโอ: การดูแลตามอาการ การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการรักษาภาวะแทรกซ้อน
  • หัด: การดูแลตามอาการ การให้วิตามินเอเสริมเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ตา และการรักษาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
  • หัดเยอรมัน: การดูแลตามอาการ การติดตามอย่างใกล้ชิดในสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ และการรักษาทารกที่มีกลุ่มอาการรูเบลลาแต่กำเนิด

ภาวะไวรัสในกระแสเลือด (Viremia):

  • ฝีดาษ: ใช่
  • โปลิโอ: ใช่
  • หัด: ใช่
  • หัดเยอรมัน: ใช่

การติดเชื้อที่ผิวหนัง:

  •  ฝีดาษ: ใช่ ทำให้เกิดรอยโรคที่ผิวหนังอย่างเฉพาะเจาะจง
  • โปลิโอ: ไม่ ไวรัสโปลิโอติดเชื้อระบบประสาทเป็นหลัก
  • หัด: ใช่ ทำให้เกิดผื่นสีแดงลักษณะเฉพาะ (maculopapular rash)
  • หัดเยอรมัน: ใช่ ทำให้เกิดผื่นแดงเล็กน้อย (mild rash)

คำประกาศหรือความเห็นขององค์การอนามัยโลก:

  • ฝีดาษ: ถูกประกาศให้เป็นโรคที่ถูกกำจัดทั่วโลกโดยองค์การอนามัยโลกในปี 1980
  • โปลิโอ: องค์การอนามัยโลกมีเป้าหมายในการกำจัดโรคโปลิโอทั่วโลก และกำลังทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
  • หัด: องค์การอนามัยโลกเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนหัดเพื่อป้องกันการระบาดของโรคและลดการเสียชีวิต
  • หัดเยอรมัน: องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันเพื่อป้องกันกลุ่มอาการรูเบลลาแต่กำเนิด (congenital rubella syndrome) ในทารกแรกเกิด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo