General

‘ชัชชาติ’ เล็งติดตั้งเทคโนโลยีตรวจน้ำหนักสะพานทั่วกรุง เข้มไซต์ก่อสร้าง แก้รถบรรทุกน้ำหนักเกิน

“ชัชชาติ” กางแผนแก้ปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน เตรียมนำเทคโนโลยีตรวจน้ำหนักติดตั้งสะพานทั่วกรุง เล็งปรับเงื่อนไขการออกใบอนุญาตก่อสร้าง 

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยความคืบหน้าเหตุการณ์ที่มักกะสันและเหตุการณ์ที่ ถนนสุขุมวิท 64/1 ที่มีกรณีรถตกลงไปในบริเวณที่ก่อสร้าง ว่า ทั้ง 2 กรณี เป็นการขุดถนนเพื่อทำเป็นชาร์ปสำหรับการก่อสร้าง เคสมักกะสันเป็นท่อระบายน้ำของกทม.เอง ส่วนเคสเมื่อวานนี้ เป็นเคสของการไฟฟ้านครหลวง ที่เป็นโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินจะเป็นแผ่นชั่วคราวที่วางปิด

รถบรรทุกน้ำหนักเกิน

ขณะที่ทั้ง 2 กรณีคล้ายกันคือ มีรถบรรทุกวิ่งผ่าน เคสแรกรถบรรทุกวิ่งผ่านไปได้แล้วรถกระบะตก แต่เคสเมื่อวานนี้รถบรรทุกตกและติดอยู่ในแผ่นที่ทรุดตัว สาเหตุก็น่าจะมาจาก 2 เรื่อง คือ การที่รถบรรทุกน้ำหนักเกินซึ่งเราไม่ได้บอกว่ารถน้ำหนักเกิน แต่จากที่เราคำนวณด้วยสายตาว่ารถขนาดนี้ถ้าบรรทุกดินเปียกเต็มควรมีน้ำหนักเป็นเท่าไหร่ และจากขนาดกระบะที่วัดได้ การบรรทุกน้ำหนักเกินก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ตามกฎหมายทางหลวงท้องถิ่นกำหนดให้รถสิบล้อบรรทุกได้ไม่เกิน 25 ตัน แต่สำหรับรถขนาดนี้อาจบรรทุกได้ถึง 30 ลบ.ม. หรือประมาณ 45 ตัน อันนี้คือคำนวณจากขนาดที่เห็น ซึ่งจำเป็นต้องพิสูจน์ต่อไป

อีกสาเหตุคือ เป็นเรื่องปัญหาการก่อสร้างหรือไม่ เช่นปัญหาเรื่องคุณภาพของการก่อสร้าง หรือความเรียบร้อยของการก่อสร้าง ก็ต้องพิสูจน์เช่นกัน ซึ่งเช้านี้ก็ได้เปิดถนนให้ใช้สัญจรได้แล้ว ในเรื่องความปลอดภัยก็ได้มีการเสริมตัวคานให้มีความแข็งแรงมากขึ้น

สำหรับการตรวจสอบน้ำหนักรถ รอขั้นตอนการตรวจสอบแต่อาจไม่ 100% เพราะมีปัญหาเรื่องที่ดินไหลลงไปในบ่อบ้างตอนที่ยกรถออก เพราะหากยังคงดินไว้จะเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน และกทม.เอง ต้องขอความอนุเคราะห์จากกรมทางหลวงเพื่อนำเครื่องชั่งมา และอาจต้องมีการเปลี่ยนล้อที่บิดเบี้ยวก่อนเพื่อขึ้นชั่ง

ในเรื่องมาตรฐานการก่อสร้าง ก็ได้กำชับมาโดยตลอด ซึ่งหน่วยงานหลัก ๆ ในพื้นที่ คือ รฟม.ที่สร้างรถไฟฟ้าโดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่อยู่ในระบบการทำฐานรากอยู่ รวมทั้งการไฟฟ้านครหลวงซึ่งมีการนำสายไฟลงดิน และของกทม.เองก็มีบ่อบำบัดน้ำเสียที่มักกะสัน

กทม 2

นายชัชชาติกล่าวว่า บ่ายวันนี้จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมากำชับเรื่องการทำงานอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะงานที่เป็นตัวโครงสร้างชั่วคราวคือตัวฝาบ่อ ซึ่งยังไม่ได้ปิดถาวร กลางวันปิดไว้และเปิดช่วงกลางคืนเพื่อลงมาทำงาน ตรงนี้ก็ยังเป็นจุดที่ไม่สมบูรณ์ 100% รวมไปถึงความเรียบของฝาบ่อ แต่ละหน่วยก็ต้องไปเพิ่มความเข้มข้นตรงนี้ขึ้น
เรื่องน้ำหนักบรรทุก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนพอสมควร ต้องบอกว่าเป็นความรับผิดชอบของกทม. ร่วมกับทางตำรวจด้วย

ปัจจุบันพรบ.ทางหลวง กำหนดให้หน่วยงานท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลทางหลวงท้องถิ่น กทม.จึงเป็นผู้ออกกฎน้ำหนักบรรทุกเอง ซึ่งได้ออกไปแล้ว สำหรับการบังคับใช้ที่ผ่านมา กทม.ไม่ได้ชั่งน้ำหนักรถบรรทุกเพราะรถบรรทุกไม่ได้วิ่งเฉพาะในกทม. แต่จะออกไปทางหลวง หรือทางหลวงชนบทรอบนอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วด่านชั่งน้ำหนักจะอยู่พื้นที่นี้

ส่วนเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกทม.จับกุมต้องส่งตำรวจดำเนินคดีเพราะเป็นคดีอาญา เพราะฉะนั้น การดำเนินการในอนาคตคงต้องจัดชุดร่วมกับตำรวจและหน่วยงานที่มีเครื่องชั่งน้ำหนักในการดำเนินการ

ตอนนี้ได้เครื่องชั่งน้ำหนักจากกรมทางหลวงมาแล้ว 1 ตัว วันนี้น่าจะได้ลงไปทำให้เห็นว่ากระบวนการทำงานร่วมกันนั้นเป็นอย่างไร และอนาคตกทม.ต้องมีเครื่องชั่งเป็นของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การตั้งด่านในเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่งผลกระทบหลายด้าน ตามหลักที่คิดคือ จะเอาตัววัดไปอยู่บนสะพานต่าง ๆ เรียกว่า Weigh-In-Motion (WIM) ซึ่งได้มีการจ้างคณะอาจารย์เมื่อ 2 เดือนที่แล้วเพื่อทดลองใช้ และได้ส่งทะเบียนรถบรรทุกคันที่เกิดเหตุไปดูในฐานข้อมูลซึ่งได้ประวัติออกมาว่าเคยตรวจวัดได้ว่าบรรทุกน้ำหนักเท่าไหร่ แต่ตรงนี้ยังเป็นข้อมูลในเชิงวิชาการ แต่ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า กทม.เริ่มนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้แล้ว

ดังนั้น การดำเนินการในระยะสั้น กทม.จะร่วมกับกรมทางหลวงในการนำเครื่องชั่งน้ำหนักมาใช้ตรวจวัด และสั่งการให้สำรวจไซต์งานก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีอยู่ทั้งหมด 317 แห่ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสำรวจตรวจสอบไซต์งานของตัวเอง รวมถึงฝาบ่อ 879 บ่อ

ในระยะกลาง กทม.จะติดตั้งระบบ Weigh-In-Motion ให้มากขึ้น เพื่อทำให้การวัดมีมาตรฐาน รวมไปถึงเรื่องกฎหมายต้องเสนอทางรัฐบาลในการปรับให้เข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากมี พ.ร.บ.และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน

ขณะเดียวกัน ต้องประสานกับตำรวจให้มากขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่เทศกิจกทม.มีอำนาจจับกุมและต้องส่งต่อให้ตำรวจเพื่อดำเนินคดี แต่การปฏิบัติจริงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมให้ผู้กระทำผิดขับรถไปพบตำรวจ

shutterstock 537128707

นอกจากนี้จะมีการถอดบทเรียนในครั้งนี้ เพื่อนำมาปรับปรุงและกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติที่ชัดเจนของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พร้อมกันนี้ กทม.จะให้สำนักการโยธาปรับเงื่อนไขการออกใบอนุญาตก่อสร้าง หากตรวจพบว่าไซต์ก่อสร้างใดมีรถบรรทุกน้ำหนักเกินจะให้ระงับการก่อสร้างทันที ซึ่งจะครอบคลุมทั้งเรื่องปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และรถบรรทุกน้ำหนักเกินด้วย

เมื่อวานนี้ได้มีการหารือกับ รองผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในเรื่องของการบูรณาการปรับปรุงหลักเกณฑ์ร่วมกัน เช่น การกำหนดเวลาวิ่งของรถบรรทุก การแก้ปัญหาจุดฝืดการจราจร การแก้ปัญหารถบรรทุกเกินมาตรฐาน การก่อสร้างของหน่วยงานอื่น เป็นต้น โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกัน ซึ่งในขณะนี้สิ่งที่ประชาชนจะช่วยได้คือเมื่อพบการกระทำผิดให้ร้องเรียนผ่าน Traffy Fondue ของกทม.อีกทางหนึ่ง

ด้าน รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเสริมว่า ในอนาคตกทม.จะมีการนำเทคโนโลยี AI ตรวจวัดน้ำหนักรถบรรทุก มาช่วยเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้ออุปกรณ์ หากได้ผลการศึกษาที่ชัดเจนก็จะเข้าสู่ขั้นตอนเลือกสะพานที่จะติดตั้งอุปกรณ์ AI ดังกล่าวเพื่อตรวจวัดน้ำหนักรถบรรทุก

นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีการสแกนพื้นทางวิศวกรรมด้วย GPR (Ground Penetration Radar) เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นของเนื้อดิน/หิน จากการก่อสร้างถนนและทางเท้าในขั้นตอนการตรวจรับงานก่อสร้างในกทม. เพื่อแก้ไขปัญหาจุดอ่อนในเรื่องพื้นดินทรุดจากชั้นดินต่าง ๆ โดยจะนำไปขยายผลและหารือกับผู้ก่อสร้างเพื่อแก้ไขความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo