General

‘ประวิตร’ นำถก วิกฤติน้ำน้อย ชงครม. คลอด ‘3 มาตรการเพิ่มเติม’ รับมือเอลนีโญ เน้นบริโภคอันดับแรก

“ประวิตร” นำถก วิกฤติน้ำน้อย ชงครม. คลอด “3 มาตรการเพิ่มเติม” รับมือเอลนีโญ เน้นบริโภคอันดับแรก 

วันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00 น.พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยกากองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม

พลเอก ประวิตร เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐบาลมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาเป็นอย่างมาก เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยในหลายพื้นที่ และแหล่งน้ำมีปริมาณน้ำจำกัด โดยเฉพาะน้ำอุปโภคบริโภค แม้ว่าปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤติน้ำน้อย

กำหนด 3 มาตรการเพิ่มเติม เสนอครม. รับมือเอลนีโญ

ดังนั้น ที่ประชุมจึงให้ความเห็นชอบพิจารณา (ร่าง) มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 เพิ่มเติมตลอดช่วงฤดูฝนเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ ซึ่งจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครม. เพื่อทราบ และให้หน่วยงานถือปฏิบัติต่อไป เพื่อทำงานในเชิงป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศได้ทันต่อสถานการณ์

วิกฤติน้ำน้อย

ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่

  • มาตรการที่ 1 จัดสรรน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด โดยมอบหมายให้ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วางแผนการระบายน้ำโดยจัดลำดับความสำคัญตามที่คณะกรรมการลุ่มน้ำแต่ละลุ่มน้ำกำหนด เพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ
  • มาตรการที่ 2 ควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง โดยมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร เพื่อควบคุมไม่ให้มีการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง
  • มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ แบ่งเป็น
  1. การใช้น้ำภาคการเกษตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืช เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำและเพิ่มรายได้ในพื้นที่ อาทิ ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ปรับปรุงระบบการให้น้ำพืช นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น
  2. การประหยัดน้ำของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและประชาชน สทนช. และทุกหน่วยงานภาครัฐ วางแผนลดการใช้น้ำของหน่วยงานภาครัฐ พร้อมประชาสัมพันธ์รณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน ส่งเสริมสนับสนุนให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ
  3. ลดการสูญเสียน้ำในระบบประปาและระบบชลประทาน โดยการปรับรอบเวรการส่งน้ำให้สอดรับกับปริมาณความต้องการน้ำของพื้นที่ ซึ่งจะดำเนินการในตลอดช่วงฤดูฝน ปี 2566

วิกฤติน้ำน้อย

สร้างความเข้าใจ วิกฤติน้ำน้อย กับประชาชน เน้นบริโภคเป็นอันดับแรก

ด้าน นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมกัน วางแผน และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ที่เสี่ยงประสบภัยน้ำท่วม หรือขาดแคลนน้ำจากปริมาณฝนที่ตกน้อย เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด

พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารจัดการน้ำ 2 ปี ที่ กอนช. กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเหลือเพียงพอสำหรับใช้ในช่วงฤดูแล้ง ปี 2566/67

366719849 606169048354286 7485361520654692775 n

โดยให้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรก น้ำที่เหลือถึงจะจัดสรรเพื่อการเกษตรได้ เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนมีค่อนข้างจำกัดตามที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้คาดการณ์ปริมาตรน้ำและปริมาตรใช้การ (ณ วันที่ 1 พ.ย. 66) คาดการณ์ปริมาตรน้ำและปริมาตรน้ำใช้การ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ทั้งประเทศ ปริมาตรน้ำ 49,688 ล้าน ลบ.ม. ปริมาตรน้ำใช้การ 26,142 ล้าน ลบ.ม. เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำ ปี 2565  น้อยกว่า 9,711 ล้าน ลบ.ม.

วิกฤติน้ำน้อย

366825921 606168868354304 9116258249285120026 n

อ่านข่่าวเพิ่มเติม

Avatar photo