สปสช. แนะผู้ป่วยไตวายรายใหม่ เลือกวิธีบำบัดทดแทนไตที่เหมาะกับตัวเอง ชี้ทั้งการล้างไตทางช่องท้องและฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม มีประสิทธิภาพไม่ต่างกัน
นพ.ชุติเดช ตาบองครักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 4 สระบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่อยู่ในภาวะไตเสื่อมเกือบ 8 ล้านคน และที่เข้าสู่การการบำบัดทดแทนไตแล้วประมาณ 1.5 แสนคน โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องเข้าสู่การบำบัดทดแทนไต ปีละ 2 หมื่นคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงมาก
ในส่วนของผู้ใช้สิทธิบัตรทองนั้น หลังจากที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) มีนโยบายให้ผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตได้ โดยพิจารณาร่วมกับแพทย์ผู้ทำการรักษา พบว่ามีผู้ป่วยที่เลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตด้วยเครื่องไตเทียมกว่า 50% ของผู้ป่วยรายใหม่เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี นพ.ชุติเดช แนะนำว่า การบำบัดทดแทนไตแต่ละวิธี มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป ผู้ป่วยควรพิจารณาเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะหากเลือกวิธีที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง ก็อาจเกิดผลกระทบกับสุขภาพได้
สำหรับวิธีการรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังของไทยปัจจุบันมี 3 วิธี คือ 1. การล้างไตทางช่องท้อง (PD) 2. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) และ 3. การผ่าตัดปลูกถ่ายไต
ทั้งนี้ วิธีการที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดปลูกถ่ายไต แต่เนื่องจากต้องรับบริจาคไต ทำให้มีปัญหาในการจัดหาอวัยวะแก่ผู้ป่วย
ส่วนการล้างไตทางช่องท้อง คนไข้จะถูกวางสายเข้าทางหน้าท้อง กระบวนการล้างไตคือ ปล่อยน้ำยาเข้าไปในช่องท้องครั้งละประมาณ 2 ลิตร เพื่อแลกเปลี่ยนกับสารละลายของเสียที่อยู่ในร่างกาย แล้วจึงค่อยถ่ายน้ำยานี้ออกมา เฉลี่ยต้องทำวันละ 4 ครั้ง
ข้อดีของวิธีล้างไตทางช่องท้องคือ ผู้ป่วยได้รับการล้างของเสียทุกวัน สะดวกสบายไม่ต้องเดินทางไปไหน อยู่บ้านก็ทำเองได้ และอัตราการรอดชีวิตในระยะ 2 ปีแรกค่อนข้างดี ส่วนข้อเสียคือต้องมีทีมผู้ดูแล (Care giver) ยกเว้นกรณีคนไข้สามารถทำเองได้
นอกจากนี้ จะลำบากในการเดินทาง เพราะต้องพกน้ำยาไปด้วยให้เพียงพอกับการใช้งาน และสุดท้ายคือ คนไข้จะค่อนข้างกลัวเรื่องการติดเชื้อ จนอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดได้
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีวิธีการที่ใช้เครื่องล้างไตอัตโนมัติเรียกว่า APD ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องสะดวกมากขึ้น เพราะจะทำการล้างไตผ่านทางช่องท้องในช่วงกลางคืน และ สปสช.ก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่ผู้ป่วย
วิธีที่สามคือ การล้างไตด้วยการฟอกเลือด ด้วยเครื่องไตเทียม กระบวนการคือ คนไข้จะต้องทำเส้นเลือดขึ้นมาสำหรับดึงเลือดออกมาฟอกในเครื่องฟอกไต แลกเปลี่ยนเอาของเสียออกเอา แล้วเอาเลือดดีกลับเข้าไปในร่างกาย โดยใช้เวลาฟอกครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2-4 ครั้ง
กรณีวิธีนี้ข้อดีคือ คนไข้สะดวกสบาย ไม่ต้องทำเอง แต่ข้อเสียคือ อัตราการรอดชีวิตในระยะแรก ค่อนข้างน้อยกว่าการฟอกไตทางช่องท้อง ประการต่อมาคือ ต้องไปฟอกที่โรงพยาบาล ทำให้ลำบากในการเดินทางไปไหนมาไหน และสุดท้ายคือ เนื่องจากต้องดึงเลือดออกมาฟอกข้างนอก ทำให้มีโอกาสที่คนไข้ความดันตกและมีผลเสียอื่น ๆ ตามมา
ในแง่ประสิทธิภาพประสิทธิผลของการล้างไตทางช่องท้องและการฟอกเลือดไม่ต่างกันมาก ในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องมีอัตราการรอดชีวิตในระยะ 10 ปีอยู่ที่ประมาณ 15% ส่วนผู้ที่ฟอกเลือดจะอยู่ที่เกือบ 20% แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดคือการผ่าตัดปลูกถ่ายไตซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตในระยะ 10 ปีสูงถึง 40% ดังนั้น ทุกวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน สิ่งที่สำคัญคือการให้ความรู้กับคนไข้แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสม
นพ.ชุติเดช ให้คำแนะนำในการพิจารณาเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมว่า จะพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ
1. ปัจจัยทางคลินิกของผู้ป่วย เช่น อายุ อายุยิ่งมากความเสี่ยงต่อการฟอกเลือดจะยิ่งสูง เพราะต้องดึงเลือดออกมาข้างนอก ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดความดันต่ำ หัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด นอกจากนี้ยังต้องดูว่าผู้ป่วยมีโรคร่วมหรือไม่ รวมทั้งยังพิจารณาด้วยว่าผู้ป่วยมีโรคร่วมที่อยู่ในระยะสุดท้ายหรือไม่ เช่น โรคมะเร็ง ตับแข็ง เป็นต้น หากมีโรคร่วมก็เหมาะกับการล้างไตทางหน้าท้องมากกว่า
2. ปัจจัยร่วมในมิติอื่น ๆ เช่น มิติทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเดินทาง เพราะหากเลือกวิธีการฟอกเลือดก็ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทางอ้อม คนไข้ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจไม่ค่อยดีก็จะมีปัญหา
3. ความพร้อมของญาติ เช่น หากเลือกวิธีการฟอกเลือดก็ต้องให้ญาติขับรถไปส่ง เพราะคนไข้ขับรถเองไม่ได้ บางคนขับมาเองแต่ฟอกเลือดเสร็จรู้สึกจะเป็นลม ขับรถกลับไม่ได้ เป็นต้น
นพ.ชุติเดช กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยโรคไตนั้น ต้องดูแลตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ ต้นน้ำก็คือ การป้องกันภาวะไตเสื่อม เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ต้องเข้ารับการบำบัดทดแทนไต
ที่ผ่านมา สปสช. กระทรวงสาธารณสุข และสมาคมวิชาชีพโรคไต ได้ทำโครงการทศวรรษชะลอไตเสื่อม สร้างการตระหนักรับรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่นำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต อันจะนำไปสู่ภาวะไตเสื่อม โดยมีเป้าหมายทำให้ผู้ป่วยโรคไตมีจำนวนลดลง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สปสช. รณรงค์ ‘วันไตโลก’ ปี 2566 บัตรทอง 30 บาทดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
- เผย คนไทยเป็น ‘โรคไตเรื้อรัง’ กว่า 11 ล้านคน แต่มีผู้ป่วยไม่ถึง 2% ที่รู้ตัวว่าป่วย
- ‘PM2.5’ กระทบปอด-เสี่ยงมะเร็ง ปี 65 พบป่วยมะเร็งปอด 1.9 แสนราย แนะลดกิจกรรมนอกบ้านเมื่อค่าฝุ่นสูง