COVID-19

สรุปผลประชุม ‘ศบค.’ ล่าสุด ไฟเขียวขยายวีซ่านักท่องเที่ยว มีผล 1 ต.ค.นี้

สรุปผลประชุม “ศบค.” ล่าสุด ไฟเขียวขยายระยะเวลาการพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีผล 1 ตุลาคม 2565 ยันยังไม่ได้มีการพิจารณายกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 11/2565 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

ศบค.

ผลประชุม “ศบค.” ล่าสุด

ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค. ได้มีการพิจารณาและรับทราบในประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. รายงานสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ โดยสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก แนวโน้มพบผู้ติดเชื้อทั้งในทวีปเอเชีย และทั่วโลก เพิ่มขึ้นแบบ Small wave หลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันภายในประเทศ และการเดินทางเข้าประเทศ ขณะที่แนวโน้มพบผู้เสียชีวิตคงตัว

สำหรับสถานการณ์โรคโควิด-19 ประเทศไทยระยะ post-pandemic มีลักษณะเป็น Small wave โดยเฉพาะ กทม.และปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว ส่วนจังหวัดอื่นมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อคงตัว ทำให้ผู้ป่วยกำลังรักษาผู้ป่วยหนัก ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 คงตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือ LAAB สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่กำหนด ขณะที่อัตราครองเตียงระดับ 2-3 สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 และปริมาณยาที่ใช้ต่อวัน อยู่ในระดับคงตัว โดยเน้นจังหวัดดำเนินมาตรการ “3 พอ” : บริหารจัดการเตียงระดับ 2-3 จัดหายา เวชภัณฑ์ และวัคซีนคงคลัง รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการให้บริการสุขภาพได้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคที่คาดการณ์

รวมทั้งเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล 2U : Universal Prevention แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากในสถานที่สาธารณะหรือขณะทำกิจกรรมคนจำนวนมากร่วมกัน และมาตรการ Universal Vaccination โดยเฉพาะกลุ่ม 608 รับการฉีดวัคซีนในทุกเข็ม เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่อาการรุนแรงจนถึงเสียชีวิต รวมทั้งเร่งสื่อสารผู้ปกครอง ให้บุตรหลานอายุ 5-11 ปี รับการฉีดวัคซีน เพื่อลดอาการรุนแรงภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 (MIS-C) ด้วย

ศบค.

2. ความคืบหน้าในการจัดทำกรอบ นโยบาย แนวทางปฏิบัติ และห้วงเวลา ในการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะ Post – Pandemic เพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ทั้งนี้ จากการประเมิน อาการผู้ป่วยมีแนวโน้มไม่รุนแรง ยกเว้น ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรครุนแรง และ กลุ่ม 608

  • การใช้ยาต้านไวรัส ควรให้เฉพาะกลุ่มที่มีอาการ หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรง
  • การจัดบริการด้านการรักษาพยาบาล พิจารณาอาการผู้ป่วย โดยถ้าไม่มีอาการให้แยกกักที่บ้าน แต่ถ้ามีอาการอื่นๆ จากโรคประจำตัว ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยง หรือ กลุ่ม608 และ/หรือ ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94 % ให้รับไว้ในโรงพยาบาล
  • ระยะเวลาในการแยกกักในกรณีที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ให้แยกกักหลังตรวจพบอย่างน้อย 5 วัน จากนั้นให้ปฏิบัติตนแบบ DMH อย่างเคร่งครัดต่ออย่างน้อยอีก 5 วัน

รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ โดยยังคงใช้วิธีการในการดำเนินการเช่นเดิมให้ดีต่อเนื่อง โดยใช้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือ กทม. จัดทำแผน และมีการสื่อสารแจ้งเตือนสถานการณ์ได้รับทราบเพื่อเตรียมความพร้อมหากมีการระบาดขึ้นมาผิดปกติกลับมาอีก

โดยที่ประชุมรับทราบข้อเสนอ

1. กรอบนโยบาย และแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการระยะหลังการระบาดใหญ่ (Post-pandemic) โดยอาศัยอำนาจมาตรา 14 (1) ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 2. ห้วงเวลาการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ภาวะ Post-pandemic เพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมาย ดังนี้

  • ฝ่ายเลขานุการ ตาม พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 กระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ดำเนินการปรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
  • คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. จัดทำแผนการเปลี่ยนผ่าน และแผนรองรับการระบาด ในระดับจังหวัด ตามกรอบนโยบายของคณะกรรมการโรคติดต่อชาติ และ
  • กรมประชาสัมพันธ์สื่อสารประชาชนเพื่อกระตุ้นการรับวัคซีนและเตรียมพร้อมรับการปรับเปลี่ยนตามกรอบนโยบาย

ศบค.

3. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ จากแหล่งงบประมาณต่าง ๆ โดยขณะนี้มีความก้าวหน้าโดยลำดับ เช่น การพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ชนิด mRNA โดยในปี 2566 และจะมีการศึกษาวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 ก่อนมีแผนที่จะได้รับอนุมัติขึ้นทะเบียนภายในปี 2567 รวมถึงการพัฒนาวัคซีนนิด NDV-HXP-S ขององค์การเภสัชยกรรมก็มีความคืบหน้าเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะขึ้นทะเบียนได้ภายในปี 2566

4. การขยายระยะเวลาการพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด -19 ที่ประชุมรับทราบนักท่องเที่ยวให้ความมั่นใจที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยสถานการณ์ท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (1 ม.ค.-17 ส.ค.65) มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมจำนวน 3,780,209 คน ทำให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 176,311 ล้านบาท

ที่ประชุมเห็นชอบการขยายระยะเวลาการพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด -19 ดังนี้

  1. ขยายระยะเวลาพำนักสำหรับผู้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศ (ผ.30) ทั้งที่ไทยให้แต่ฝ่ายเดียว และที่มีความตกลงระหว่างกัน จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน (ผ.45)
  2. ขยายระยะเวลาพำนักสำหรับผู้ได้รับ Visa on Arrival จากไม่เกิน 15 วันเป็นไม่เกิน 30 วัน
  3. การขยายระยะเวลาพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรในข้อ 1-2 ข้างต้น ให้มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2566
  4. มอบหมาย มท. กต. สตม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมติ ศบค. ต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณาที่จะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนี้ โดยต้องพิจารณาสถานการณ์ประกอบด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo