“ดร.อดุลย์” แนะกลุ่ม 608 ที่ยังลังเลไม่อยากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ตรวจ antibody หาภูมิคุ้มกัน ประกอบการตัดสินใจฉีด-ไม่ฉีด
ศ.คลินิก นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune เรื่อง ได้เวลาของ kit ตรวจ antibody ของ Covid-19 หรือยัง โดยระบุว่า
การเลือกใช้เครื่องมือที่ใช้สำหรับสถานการณ์ ต่างกัน มีความสำคัญมาก
ยุคแรกที่ Covid-19 อู่ฮั่น การล็อกดาวน์ เป็นเครื่องมือที่เหมาะมาก เพราะ เราไม่รู้จักมัน และมีคนตาย ในสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับโรคระบาดทั่วไปที่เรารู้จัก
ยุคสายพันธุ์อังกฤษใหม่ ๆ เรารู้ว่าล็อกดาวน์ไม่ไหวแล้ว การให้คนอยู่ รพ. ก็มีที่ไม่พอ ฮอสพิเทล จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมในยุคนั้น ช่วยให้เราควบคุมโรคได้ดีขึ้น และ การเริ่มทดลองวัคซีน ดูเป็นทางออก ร่วมกับการใช้ยา Favipiravir ทำให้เราผ่านจุดนั้นมาได้
พอถึงเดลตา ซึ่งระบาดอย่างรวดเร็ว การรอตรวจ RT-PCR ในรพ. หรือ ห้อง LAB ทำไม่ทันแน่นอน เพราะติดง่ายติดเร็วมาก ATK จึงเป็นทางออก
และด้วยมีคนที่อาการน้อยเยอะขึ้น การเข้า Hospitel สำหรับคนจำนวนมากก็ไม่ไหว Community isolation และ Home isolation จึงเริ่มเข้ามาเป็นตัวช่วยผ่อนให้ รพ. ไม่หนักมาก และ การรับผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่เป็น Covid-19 ก็สามารถทำได้ หลังจากที่ทั้งอั้น ทั้งเลื่อนมาเกือบ 2 ปี
ในยุคนี้ แพทย์แนะนำให้ตรวจ ATK ซึ่งเป็น antigen test kits แต่ไม่แนะนำให้ตรวจหา antibodies ซึ่งถึงแม้จะมีชุดตรวจออกมาเหมือนกัน
ระยะแรกคนทั่วไปมีความสับสนแล็กน้อย แต่ ตอนนี้ทุกคนรู้ว่า ควรตรวจ antigen ไม่ใช่ antibody เพราะจะรู้ได้ว่าใครติดเชื้อ ซึ่งการตรวจ antibody ไม่สามารถบอกได้ว่าใครติดเชื้อ
ยุคโอไมครอน ที่ระบาดเร็วกว่าเดลตา แต่อาการน้อยมาก และ มีคนได้รับวัคซีน อย่างน้อย 1 เข็มมากกว่า 70% จึงทำให้สบายใจได้ระดับหนึ่งว่า ถึงติดเชื้อก็ไม่ป่วยหนัก ทำให้ลืมเรื่อง ล็อกดาวน์ไปได้เลย
การรักษาส่วนใหญ่ ก็จะเป็น home isolation หรือ self isolation ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหรือ hospital ซึ่งเก็บ หอผู้ป่วย Covid-19 ของ รพ. ไว้สำหรับคนที่มีอาการหนัก เพราะคนส่วนใหญ่ ป่วยแล้วก็หายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ ไม่ต้องมา รพ. แค่ระวังไม่ให้แพร่เชื้อไปคนอื่นเท่านั้น
ในยุคโอไมครอนนี้ กลุ่มคนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ กลุ่ม 608 ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือไม่ได้เข็มกระตุ้น เพราะจากสถิติในช่วงของการระบาดรอบนี้ คนที่ป่วยหนัก หรือตาย คือคนในกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือ ฉีดไม่ครบ หรือไม่ได้ฉีดกระตุ้น
เราจึงเห็น รัฐบาล และสื่อ ออกมารณรงค์มากมายให้พาคนกลุ่มนี้ ไปฉีดวัคซีน แต่ก็ยังได้ผลน้อย เหตุผลหรือครับ
เหตุที่คนไม่ยอมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น น่าจะมีเหตุใหญ่ ๆ 2 ประการ
1. กลัวผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน (ซึ่งเข้าใจได้ มีข่าวจริงบ้าง ไม่จริงบ้างมาให้ได้ยิน และกลายเป็นภาพจำว่า ฉีดวัคซีน อาจจะเสียชีวิตหรือพิการ
2. คิดว่า ที่ฉีดไปแล้ว 2 เข็ม ก็มีภูมิแล้ว ถ้าเพิ่มความระวังตัวอีกหน่อย น่าจะไม่เป็นอะไร และเป็นการเสริมกันของ เหตุผล 2 ข้อนี้ ทำให้รู้สึกว่า ไม่ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ได้
ผมเลยชวนให้คนกลุ่มนี้ มาตรวจหา antibody กันครับ ซึ่งการตรวจ ก็มีชุดตรวจ antibody test kid ขาย ซึ่งใช้การเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจ ไม่ใช่การ swab แยงจมูก ครับ (ชุดตรวจพวกนี้ ไม่ใช่ ATK นะครับ ATK ตรวจหา antigen แต่เราจะตรวจ antibody)
ที่ชวนให้ตรวจ antibody จะได้รู้ว่าเหตุผลข้อ 2 ที่แต่ละคนเชื่อว่าวัคซีนที่เคยฉีดแล้ว มีภูมิคุ้มกัน พอให้ไม่ติดโรค หรือป่วยหนักได้ไหม ถ้าภูมิยังสูงอยู่ ก็ไม่ต้องฉีดครับ ความเชื่อของแต่ละท่านถูกต้อง แต่ถ้าภูมิต่ำมาก ก็อยากชวนให้พิจารณากันใหม่ เพราะเหตุผล เหลือข้อเดียวแล้ว คือ กลัวผลเสียจากการฉีดวัคซีน
ก็ลองมาพิจารณา ว่าผลเสียจากวัคซีน กับผลเสียจากการติดเชื้อ (เพราะไม่มีภูมิแล้ว) อันไหนจะมากกว่ากัน ผู้ที่ไม่อยากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจได้มากขึ้นครับ
ชวน ผู้ที่ไม่อยากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ตรวจภูมิ หา antibody กันครับ ถ้ามีภูมิคุ้มกันสูง ก็ไม่ต้องฉีดวัคซีนครับ
อ่านข่าวเพิ่มเติม