สาธารณสุข ย้ำกฎหมายอนุญาตให้นำกัญชาไปใช้เฉพาะประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น เนื่องจากเป็นสารเสพติด มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ส่วนการนำไปใช้ เพื่อหวังผลด้านอื่นๆ ยังผิดกฎหมาย
ตอนนี้ไม่มีพืชใดจะฮิตเท่ากัญชาอีกแล้ว แต่การนำกัญชามาใช้ในประเทศไทย อนุญาตให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาย้ำว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ.2562 ของไทย ถือเป็นประเทศแรกของอาเซียน ที่ออกกฎหมายนำกัญชาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
กัญชามีสาระสำคัญอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า THC (Tetrahydrocannabinol) พอเสพแล้ว จะเสพติด ทำให้มีอาการมึนงง จัดเป็นสารเสพติด ชนิดที่สองเรียกว่า CBD (Cannabidiol) เป็นสารสกัดที่ออกมาแล้วเกิดประโยชน์ทางการแพทย์ สามารถนำมารักษาโรคสมอง โรคชัก หรือโรคอื่นๆ ซึ่งในต่างประเทศ ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาได้นั้น เป็นการอนุญาตให้ใช้เฉพาะสาร CBD ที่มีประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น
ดังนั้นกัญชาจึงมีทั้งข้อดีข้อเสีย การใช้ต้องระวัง สำหรับกัญชาที่ปลูกกันในประเทศไทย พบว่า มีสาร THC ค่อนข้างสูง การใช้ต่อเนื่องมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ ส่วนหลายประเทศทั่วโลกยังประกาศให้กัญชาเป็นยาเสพติด แต่ประเทศไทย ได้แก้ไขกฎหมายที่เอื้อให้สามารถพัฒนานำสารสกัดจากกัญชาไปใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์ ยังไม่ได้อนุญาตให้นำไปใช้ด้านอื่นๆ อาทิ ใช้ในเรื่องสันทนาการ ต้องระมัดระวัง เพราะในหลายประเทศ เช่นที่รัฐโคโลราโด สหรัฐ ได้รับรายงานมาว่า หลังเปิดเสรีในเรื่องกัญชา พบว่าเกิดอุบัติเหตุการจราจรสูงขึ้น จากการเมาเหล้า และอีกส่วนหนึ่ง คือเมากัญชา
สำหรับความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องกัญชานั้น หากเป็นด้านการวิจัย เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่หากขอผลิตเป็นยา หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งต้องไปร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ
“เชื่อมั่นว่าคนไทย มีวิจารณญาณในการนำกัญชาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในระยะแรก ขอให้ประชาชน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่หวังจะนำกัญชามาใช้ประโยชน์ ขอให้ใช้ประโยชน์ด้านการดูแลรักษาในเรื่องโรค และสุขภาพเต็มที่ก่อน อย่าเพิ่งนำไปใช้ด้านอื่น ๆ เพราะยังยืนยันว่า กัญชามีสารเสพติด และเป็นสารเสพติดที่มีผลเสียต่อสุขภาพด้วยต้องระวัง ” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว
