ในการก้าวเข้าสู่ปีแรกของทศวรรษใหม่นี้ “ซีเอ็นเอ็น ทราเวล” ระบุว่า มีสถานที่มากมายทั่วโลก ที่ควรจะมุ่งหน้าไปสำรวจ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และความรู้เกี่ยวกับโลกของเรา รวมถึงเฉลิมฉลองความสวยงามในความสำเร็จของมนุษย์ และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติทั่วโลก
เขตทะเลสาบ ชิลี
แม้ชื่อชิลีจะเป็นข่าวพาดหัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะเหตุจลาจลในประเทศ แต่การเดินทางไปเยือน “ภูมิภาคลอส ลากอส” ที่อยู่ห่างจากความวุ่นวายในตัวเมือง จะทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับทิวทัศน์อันสวยงามที่น่ามหัศจรรย์ และสงบสุข โดยภูมิภาคนี้จะยิ่งน่าประทับใจเป็นพิเศษ ในเดือนธันวาคม 2563 เพราะจะเป็นสถานที่ที่มองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างชัดเจน
ในภูมิภาคนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ และความสวยงามของธรรมชาติ ไม่ว่าเป็นโบสถ์ไม้สีสันสดใส บนเกาะชีโลเอ ที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งโบราณคดี Monte Verde ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเมื่อกว่า 14,000 ปีที่แล้ว ทั้งเขตทะเลสาบในภูมิภาคนี้ ยังเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง รวมถึง วิเซนเต เปเรซ อุทยานแห่งแรกของประเทศ
โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก
เป็นที่รู้จักกันในฐานะเมืองหลวงแห่งความสุข ของหนึ่งในประเทศที่มีความสุขมากสุดของโลก โดยโคเปนเฮเกน ขึ้นชื่อมานานแล้วในหมู่นักเดินทางว่า เป็นสถานที่ที่น่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่ง จากวัฒนธรรมการปั่นจักรยาน บ้านเรือนสีสันสดใส ร้านอาหารชั้นเยี่ยม และการใช้ชีวิตดีๆ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอดีตหมู่บ้านชาวประมงในยุคไวกิง รวมถึง พิพิธภัณฑ์โคเปนเฮเกน ที่จะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมอีกครั้งในปีนี้ และทิโวลี การ์เดนส์ สวนสนุกที่มีอายุยาวนานสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่ยังไม่เสื่อมคลายมนต์ขลัง ดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยให้เข้ามาเที่ยวชม
ถ้ามาถึงเมืองนี้แล้ว ต้องไม่พลาดที่จะไป Stroget ถนนช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดในยุโรป และยังเป็นสถานที่ตั้งของร้านอาหารชั้นนำจำนวนมาก
เดดซี
พยานหลักฐานที่ตอกย้ำให้เห็นถึงวิกฤติสภาพภูมิอากาศโลก กำลังเกิดขึ้นที่ เดดซี หรือทะเลสาบแห่งความตายแห่งนี้ เพราะภาวะโลกร้อน ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบลดลบงไปอย่างมาก และได้ปรับเปลี่ยนสถานะจาก สถานที่ที่ต้องไปในสักวันหนึ่ง กลายมาเป็น สถานที่ที่คุณต้องมาเยือนเดี๋ยวนี้
เดดซีตั้งอยู่บริเวณชายแดนติดต่อระหว่างอิสราเอล และจอร์แดน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโอเอซิสแห่งความเค็ม แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับการอาบโคลนดำ และลอยตัวอยู่ในทะเลสาบน้ำเค็มแห่งนี้ จนแทบจะลืมไปเลยว่า ห่างออกไปจากสถานที่นี้ไม่ไกลนัก ยังมีความขัดแย้งทางการเมืองที่คุกรุ่นอยู่
ถ้ามีเวลาว่างเหลืออยู่ เดินทางเข้าไปในจอร์แดนราว 135 กิโเมตรก็จะพบกับ “เพตรา” หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ ขณะที่เยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ชื่อก้องโลก ก็อยู่ห่างจากทะเลสาบน้ำเค็มแห่งนี้ เพียงแค่ 34 กิโลเมตรเท่านั้น
โดมินิกา
เกาะเขียวชอุ่ม ที่มีพื้นที่กว่า 750 ตารางกิโลเมตร ทางตะวันออกของทะเลแคริบเบียนแห่งนี้ เคยได้รับความเสียหายอย่างหนักจากพายุเฮอริเคนมาเรีย เมื่อปี 2560 แต่ธรรมชาติก็ได้ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว ด้วยความมุ่งมั่นจากการก่อสร้างอย่างยั่งยืน และยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ รวมถึง การปรับเป้าหมายใหม่สู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
โดมินิกากำลังอยู่ในช่วงเฟื่องฟูของโรงแรมหรู ที่สร้างขึ้นอย่างสวยงาม และน่าประทับใจ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการโครงการดึงดูดการลงทุน ที่จะให้สถานะการเป็นพลเมืองในระยะยาว โดยการลงทุนสร้างรีสอร์ทระดับไฮเอนด์ ที่มีมูลค่ามากกว่า 100,000 ดอลลาร์ขึ้นไปนั้น เป็นเส้นทางหนึ่งที่จะได้สถานะพลเมือง ภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่น
กลุ่มโรงแรมหรูที่เข้าลงทุนในโดมินิกา รวมถึง คาบริตส์ รีสอร์ท แอนด์ สปา เคมปินสกี รีสอร์ทระดับ 5 ดาวแห่งแรกของดินแดน นอกเหนือจากเชนโรงแรมยักษ์ใหญ่อย่าง ฮิลตัน และแมริออท ที่ต่างเข้ามาลงทุนเช่นกัน ทั้ง ฮิลตันส์ เทรนควิลิตี บีช และแมริออต อานิชิ รีสอร์ท แอนด์ สปา
แหล่งท่องเที่ยวของโดมินิกา ไล่ตั้งแต่การปืนเขาไปยัง Valley of Desolation ไปจนถึง ทะเลสาบเดือดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และสระมรกต ซึ่งเป็นแอ่งน้ำจากน้ำตกขนาดใหญ่ มีสีเขียวใส ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Morne Trois Pitons
เอสโตเนีย
แม้จะยังไม่ได้เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก ในเรื่องอาหารชั้นเยี่ยม แต่ประเทศที่เหมือนเป็นนอร์ดิกของยุโรปเหนือแห่งนี้ ก็เป็นเจ้าของสูตรอาหารที่อร่อยล้ำไม่แพ้ใคร
สำหรับในปีนี้ ไม่ต้องแปลกใจถ้าจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารจากเอสโตเนียมากขึ้น เพราะปี 2563 นี้ จะเป็นครั้งแรกที่เอสโตเนียเป็นเจ้าภาพจัด “Bocuse d’Or Europe” การแข่งขันทำอาหารให้เห็นกันแบบสดๆ หลังจากที่เข้าร่วมแข่งขันในรายการนี้มานานหลายสิบปีแล้ว
นอกจากเรื่องอาหารแล้ว เอสโตเนียยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความงาม และธรรมชาติ ผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งสามารถวางแผนการเดินทางทั่วทั้งเอสโตเนีย ผ่านทางเส้นทางน้ำที่เชื่อมโยงถึงกันหมด
ด้วยการที่เป็นประเทศขนาดเล็ก มีประชากรไม่มากนัก ทำให้ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ก็จะไม่เจอกับความแออัดพลุกพล่าน ทั้งค่าใช้จ่ายยังค่อนข้างถูก ที่สำคัญ สถานที่ตั้งแคมป์ทั้งหมดไม่ต้องเสียเงิน
กัลเวย์ ไอร์แลนด์
แม้เพิ่งจะได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป สำหรับปี 2563 แต่ที่ผ่านมา กัลเวย์ ซิตี้ ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของศิลปะแม้แต่น้อย
กระแสลมจากมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ภูมิอากาศในพื้นนี้ค่อนข้างรุนแรงกว่าทางฝั่งตะวันออกของไอร์แลนด์ โดยกัลเวย์ ถือเป็นดินแดนชนบท ที่ผู้คนใช้ชีวิตภายใต้กฎข้อบังคับของตัว และงานศิลปะที่เกิดขึ้นก็มาจากความงามของทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยก้อนหิน
กัลเวย์ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ มีความรู้ และความร่าเริงเป็นรางวัลให้กับศิลปะเหล่านี้ ทั้งยังเป็นสถานที่ที่มักมีการจัดเทศกาลต่างๆ ขึ้นอย่างเสรี เป็นการรวมตัวกันทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเกือบตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเดินทางมาเยือนในฤดูไหนก็ตาม คุณก็จะได้เจองานเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาหาร ดนตรี ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วรรณกรรม และธรรมชาติ
จาไมกา
ดินแดนที่มีเรื่องราวนำเสนอมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจมส์ บอนด์ บ็อบ มาร์เลย์ น้ำสีเทอร์ควอยซ์ และน้ำตกที่ต้องแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ
แต่ในปี 2563 นี้ จาไมกามีเรื่องราวพิเศษๆ เพิ่มขึ้นมา
เดือนเมษายนที่จะถึงนี้ “เจมส์ บอนด์ ” ตอนใหม่ “No Time To Die” ภาพยนตร์สุดยอดสายลับ จากบทประพันธ์ของเอียน เฟลมมิง ที่แดเนียล เครก กลับมารับบทนักสืบ 007 อีกครั้งหนึ่ง จะกลับมายัง “โกลเดนอาย” บ้านริมหาดในชีวิตจริงของเฟลมมิง ที่อยู่ห่างจากอ่าวมอนเตโกราว 90 นาที
เฟลมมิงเขียนนิยายเรื่องเจมส์ บอนด์ทั้ง 14 ตอนที่โกลเดนอาย โดยจะกลับมาทำงานที่บ้านหลังนี้ในทุกๆ ฤดูหนาว จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 2507 ซึ่งแขกที่แวะมาเยี่ยมเยียน สามารถเข้าพักในบ้านขนาด 5 ห้องนอนของนักเขียนดังรายนี้ได้
ในปีนี้ จาไมกา ยังจะจัดงานเฉลิมฉลองให้กับ บ็อบ มาร์เลย์ นักร้องแรกเก้ชื่อดัง ที่จะอายุครบ 75 ปี ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจาไมกาของมาร์เลย์นั้น เป็นคนที่มีชีวิต มีหัวใจเต้น เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความเจ็บปวด ประวัติศาสตร์และความสำคัญทางวัฒนธรรม
คีร์กีซสถาน
แม้การซ่อนตัวอยู่ระหว่าง จีน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ กับคาซัคสถาน ทางตอนเหนือ และอุซเบกิสถาน ทางตะวันตกของประเทศ จะทำให้คีร์กีซสถานกลายเป็นประเทศที่ถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย แต่ดินแดนแห่งนี้ก็ถือเป็นอัญมณีที่ล้ำค่าอีกแห่งหนึ่ง
จากกรุงบิชเคก มุ่งหน้าไปทางตะวันออกของประเทศ สู่ดินแดนที่เทือกเขาทอดยาวลงไปในทะเลสาบอีสซิคคูล ที่เกิดจากการรวมตัวของสายน้ำ ที่มาจากหิมะละลายตัว ทัศนียภาพที่เป็นการเปิดให้เห็นว่า คีร์กีซสถานคือดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยคนนักจะได้ค้นพบ
ห่างจากสถานที่นี้เพียงไม่กี่กิโลเมตร ภูมิทัศน์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นหุบเขารูปร่างแปลกตา มีลักษณะคล้ายกับทะเลทราย ที่สามารถแข่งขันกับดินแดนฝั่งตะวันตกของสหรัฐได้ และไม่ไกลจากนั้น ก็ยังมีทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มบนที่สูง มีความสวยงามไม่แพ้เทือกเขาแอลป์ของยุโรปเลยทีเดียว
แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ความหลากหลายของภูมิศาสตร์ ก็ทำให้คีร์กีซสถานเป็นประเทศที่มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวทำได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสกี ในช่วงฤดูหนาว หรือการปืนเขา และขี่ม้า ในช่วงฤดูร้อน
คิวชู ญี่ปุ่น
แม้ในปีนี้ ถนนทุกสายแทบจะมุ่งตรงไปยังกรุงโตเกียว ที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 แต่อย่าลืมจัดสรรเวลาดินแดนกึ่งเขตร้อนอย่างคิวชู ที่นำเสนอพื้นที่มากกว่า 36,000 ตารางกิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์อันน่าตื่นตะลึง ของกินชั้นเยี่ยม และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่น่าสนใจ
เกาะใหญ่อันดับ 3 ใน 5 เกาะหลักของญี่ปุ่นแห่งนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นเกาะหลักของญี่ปุ่น เดินทางไปได้สะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องนั่งเฉพาะเรือเฟอร์รีเท่านั้น เพราะมีสะพานข้ามไปเกาะหลายสะพานด้วยกัน และยังมีอุโมงค์ลอดใต้ทะเล ที่เชื่อมทั้ง 2 เกาะเข้าด้วยกัน มั่นใจได้ว่า สามารถเดินทางจากกรุงโตเกียว ไปยังคิวชูได้อย่างราบรื่นด้วยรถไฟชินกันเซน
ฟุกุโอกะ เมืองใหญ่สุดของเกาะคิวชู เป็นเมืองทันสมัย แหล่งสวรรค์ของอาหารหลากหลายชนิด ขณะที่เมืองเล็กๆ ติดทะเล อย่าง คูนิซากิ และเบปปุ ก็มีชื่อเสียงในเรื่องออนเซ็น และถนนที่แปลกตา
นอกจากนี้ ยังมีเมืองซากะ เมืองเล็กๆ ที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานมอบรางวัล Asia’s Best Restaurant ประจำปีนี้ โดยเมืองนี้เป็นที่รู้จักจากการทำนาแบบขั้นบันได ที่ให้ทิวทัศน์สวยงาม เทือกเขา และการปลูกชา
เกาะคิวชู ยังเป็นที่ตั้งของเมืองนางาซากิ ที่ในปี 2563 นี้ จะครบรอบ 75 ปี การถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เข้าใส่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
นิว แคลิโดเนีย
ในปลายปี 2561 เมื่อประชากรของหมู่เกาะในแปซิฟิกใต้แห่งนี้ จัดทำประชาพิจารณ์ขึ้นมาว่า จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส และแยกตัวออกมาเป็นประเทศใหม่ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาบนหน้าค้นหาของกูเกิลทั่วโลกว่า “นิว แคเลโดเนีย อยู่ที่ไหน”
ดินแดนนิว แคลิโดเนีย ประกอบไปด้วยหมู่เกาะ 4 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยที่ตั้งของดินแดนนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างฟิจิ กับชายฝั่งรัฐควีนส์แลนด์ ของออสเตรเลีย ทางตอนใต้ของหมู่เกาะโซโลมอน
เสน่ห์ของนิว แคลิโดเนีย อยู่ตรงที่ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่งดูท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีชมพู ในเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน และมีชายหาดทรายสีขาวยาวเหยียด ทั้งยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมามากนัก โดยดินแดนนี้ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีคนเดินทางมาน้อยที่สุดในโลก เพราะอยู่ห่างไกลอย่างมาก จะเที่ยว จะกิน ไปดำน้ำตื้น ก็ทำได้สบายๆ ไม่ต้องแย่ง หรือเบียดเสียดกับใคร
พาราที และ อิลลา แกรนเด บราซิล
พื้นที่ป่าดงดิบ ที่ลาดลงไปหาชายฝั่งทะเล อยู่ห่างจากนครริโอ เด จาเนโร ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 250 กิโลเมตร โดยพาราที เป็นชุมชนในยุคอาณานิคม ที่เป็นปลายทางของเส้นทางการขนทองคำทางบก ไปสู่ยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 17 และปัจจุบันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากการทะลักเข้ามาของเชฟ และศิลปิน ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นเมืองที่มีแกลลอรีศิลปะ และร้านอาหารเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
พาราที ยังเป็นเมืองที่มีป่าเขียวชอุ่มอยู่ล้อมรอบ และเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ มีเส้นทางเดินป่า ในอุทยานแห่งชาติเซอร์รา ดา โบไคนา เพื่อสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยของลิงแมงมุม และเสือจากัวร์ รวมถึง พันธุ์ไม้หายากอีกหลายสิบชนิด
ความหลากหลายทางธรรมชาตินี้ ครอบคลุมข้ามชายฝั่ง ไปจนถึงอิลลา แกรนเด อดีตอาณานิคมโรคเรื้อน และเกาะเรือนจำ ที่ปัจจุบันน้ำทะเลใสแจ๋ว ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำหลายชนิด ได้กลายมาเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก
เซาตูเมและปรินซิปี
ประเทศที่ประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆ เพียง 2 เกาะ ที่มีพื้นที่รวมกันแล้วไม่ถึง 1,000 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น โดยเซาตูเมและปรินซิปี ตั้งอยู่บริเวณอ่าวกินี ในแอฟริกาตะวันตก ถือเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก
ในบางครั้งดินแดนแห่งนี้จะถูกเรียกขานว่าเป็น “กาลาปากอสแห่งแอฟริกา” จากสภาพภูมิประเทศ ที่เต็มไปด้วยป่าดงดิบ มีปากปล่องภูเขาไฟหลายแห่ง ประกอบกับพันธุ์ไม้หายาก ที่รวมถึง กล้วยไม้หลายร้อยสายพันธุ์ และต้นบีโกเนียสูงกว่า 3 เมตร ทั้งยังมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน อาทิ นกไอบิส สายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กสุดในโลก และนกกินปลี สายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่สุดของโลก นอกเหนือจากการเป็นที่ขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล
แม้จะเป็นดินแดนที่เป็นสวรรค์สำหรับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้ิอม และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความมั่นคงมากสุดของทวีปแอฟริกา แต่เซาตูเมและปรินซิปี กลับมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนเพียง 30,000 คนต่อปีเท่านั้น ทำให้ติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีผู้เดินทางมาเยือนน้อยสุดของโลก
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้คนมาประเทศนี้น้อย อาจเป็นเพราะการเดินทางมาเซาตูเมและปรินซิปี ค่อนข้างยากลำบาก แต่เมื่อมาถึงแล้ว รับรองได้ว่าคุ้มค่ากับความพยายามอย่างมาก
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย
นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 เป็นต้นมา นักเดินทางจาก 53 ประเทศ รวมถึง พลเมืองยุโรปทั้งหมด สามารถขอวีซ่าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีวีซ่า) เพื่อเดินทางมายังเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทางตอนเหนือของรัสเซีย และพื้นที่โดยรอบได้นานสูงสุด 30 วัน
อดีตเมืองหลวงเก่าของรัสเซียแห่งนี้ ถือเป็นประตูเข้าสู่ประเทศได้ง่ายที่สุด พิพิธภัณฑ์แอร์มิทาช ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่มีอยู่ให้เห็นทั่วเมือง เป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเที่ยวชมตั้งแต่ในยุคสหภาพโซเวียตแล้ว
ปัจจุบัน เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงเดือนที่มีอากาศค่อนข้างอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางฤดูร้อน ที่มีชื่อเรียกขานกันว่า “ไวท์ ไนท์” เพราะอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ ทำให้ในช่วงฤดูร้อน เมืองนี้แทบจะไม่มีช่วงเวลามืดสนิทเลย และตามท้องถนนก็มีนักท่องเที่ยวอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแย้งว่า เมืองจะมีความโรแมนติกมากที่สุดในช่วงกลางฤดูหนาว ที่อุณหภูมิอยู่ในระดับจุดเยือกแข็ง เป็นช่วงเวลาที่แม่น้ำเนวากลายเป็นน้ำแข็ง และทั่วเมืองมีหมอกปกคลุมอยู่
แม้จะมีอุณหภูมิติดลบ แต่ก็เป็นช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมที่จะออกไปข้างนอก มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งการเล่นสเก็ตในสวนสาธารณะ หรือแม้กระทั่งสกีครอสคันทรี ซึ่งในบริเวณใจกลางเมืองนั้น หิมะ และน้ำแข็ง ก็เปลี่ยนให้เหล่าอาคาร สะพาน และคลองต่างๆ ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน กลายเป็นภาพอันสวยงาม ที่ชวนให้นึกถึงวรรณกรรมคลาสสิคของรัสเซีย
ศรีลังกา
ประเทศหมู่เกาะในเอเชียใต้ ที่มีความเก่าแก่ และสวยงาม เต็มไปด้วยอารยธรรมอันซับซ้อน จากประวัติศาสตร์ที่ยาวนานร่วม 2,000 ปี
แม้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ จากการโจมตีอย่างรุนแรงในช่วงวันอีสเตอร์ที่ผ่านมา แต่ศรีลังกายังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ ที่มีพระบรมสารีริกธาตุ และซากปรักหักพังของโบราณสถานต่างๆ วัด และพระราชวัง และยังมีสัตว์ป่าที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามธรรมชาติ
ศรีลังกาตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย แม้นักท่องเที่ยวจำนวนมาก จะเดินทางมาประเทศนี้ เพราะต้องการเที่ยวชมทะเล แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์ที่ไม่รู้ลืมจากศรีลังกา ต้องไม่พลาดการเข้าไปเยี่ยมชมภายในเมือง และแหล่งวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศ อย่างเมืองโบราณ “โปลอนนารุวา” อดีตเมืองหลวงของประเทศในสมัยศตวรรษที่ 12 เป็นแหล่งมรดกโลก ที่เต็มไปด้วยซากโบราณสถาน อย่างวัด และเจดีย์ต่างๆ
ห่างออกไปไม่ไกลนัก คือ ป้อมปราการหิน “สีคิริยะ” ที่บางครั้งถูกเอ่ยถึงในฐานะ สิ่งมหัศจรรย์อย่างที่ 8 ของโลก ที่มีการนำภูเขาไฟโบราณ มาทำเป็นป้อมปราการของพระราชวัง ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 5 และเป็นหนึ่งในมรดกโลก ที่มีผู้เข้าชมมากสุดในศรีลังกา
ตูนิเซีย
ได้ชื่อว่ามีชายหาด ที่ชาวยุโรปนิยมมาท่องเที่ยวมาเป็นเวลานาน ก่อนที่การท่องเที่ยวจะย่ำแย่อย่างหนัก จากเหตุการณ์เมื่อปี 2558 ที่รีสอร์ทดัง และพิพิธภัณฑ์ในกรุงตูนิส ถูกกลุ่มก่อการร้ายโจมตี จนทำให้สำนักงานการต่างต่างประเทศสหราชอาณาจักร สั่งควบคุมการเดินทางของพลเมืองมายังประเทศนี้
เมื่อปี 2561 อังกฤษยกเลิกคำสั่งควบคุมดังกล่าว และชาวยุโรปก็เดินทางกลับมายังแหล่งท่องเที่ยว ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำแห่งนี้อย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลสหรัฐ จะออกคำเตือนให้พลเมืองอเมริกัน เลี่ยงเดินทางไปยังบริเวณชายแดนติดต่อกับลิเบีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และบริเวณเทือกเขาทางตะวันตกของตูนิเซียก็ตาม
นอกจากชายหาดที่เรียกแขกได้เป็นอย่างดีแล้ว ตูนิเซียยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ อย่าง คาร์เธจ เมืองแห่งชาวโพลินีเซีย นอกกรุงตูนิส ที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
อีกแห่งที่น่าสนใจคือ เมืองดักกา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ที่เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่ยุคโรมัน และปัจจุบันยังคงมีร่องรอยของประวัติศาสตร์อยู่เต็มไปหมด ทั้งศาสนสถาน ถนน และโรงอาบน้ำ ซึ่งแน่นอนว่า เมืองนี้ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองในยุคโรมัน ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยมที่สุดในแถบแอฟริกาเหนือด้วย
เกาะแวนคูเวอร์ บริติช โคลัมเบีย
แม้เมืองใหญ่ที่สวยงาม และอุทยานแห่งชาติ ของรัฐต่างๆ ทางตะวันออกของแคนาดา จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในทุกแง่มุม แต่ไม่มีทางที่คุณจะได้พบกับความล้ำค่าต่างๆ เหมือนกับที่จะได้เจอบน เกาะแวนคูเวอร์ ในบริติช โคลัมเบีย ที่อยู่ทางชายฝั่งตะวันตก สถานที่ที่มีป่าไม้บริสุทธิ์ และหาดทรายขาวทอดยาวเป็นระยะทางกว่า 466 กิโลเมตร คั่นด้วยเมืองเล็ก ที่เต็มไปด้วยศิลปะ และยังมีเมืองเอกที่แสนจะทันสมัย
การเดินทางมาท่องเที่ยวที่สถานที่นี้ สามารถทำให้คุณอยู่ได้เป็นเดือนโดยไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจ จากกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพคเกอร์ ไปตั้งแคมป์ หรือหาของกินอร่อยๆ หรือจะนั่งรถชมวิวที่สวยเหมือนกับภาพวาด ไปตามเมืองต่างๆ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย
สถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ โตฟิโน หมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของชายฝั่งตะวันตก ซึ่งมีอาหารให้เลือกกินหลากหลายในราคาย่อมเยา ทั้งยังเป็นจุดยอดนิยมในการตามดูวาฬ ที่สามารถเลือกได้ทั้งการนั่งเรืออไปดูใกล้ๆ หรือจะขึ้นเครื่องบินน้ำดูจากมุมสูงลงมา
วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ
ในปี 2563 นี้ ทุกสายตาจะต้องจับจ้องมายังเมืองหลวงของสหรัฐเมืองนี้ จากการเป็นศูนย์กลางในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศทรงอิทธิพลที่สุดในโลกยุคใหม่ ง
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีดีมากกว่าที่คิดไว้ โดยเมืองนี้ มีร้านอาหารที่ได้รับการติดดาวมิชลินมากถึง 18 แห่ง นอกจากร้านอาหารชั้นเยี่ยม ที่มีความหลากหลายอีกมากมาย
นอกจากนี้ ยังมีอุทยานแห่งชาติที่อยู่เลียบแม่น้ำานาคอสเชีย ในย่านแคปิตัล ริเวอร์ฟรอนท์ ซึ่งเป็น 1 ในสองโครงการพัฒนาริมน้ำขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยร้านาหาร โรงแรม ที่พักอาศัย และผู้มาเยือน โดยโรงแรมทอมป์สัน ซึ่งเป็นโรงแรมสุดหรูแห่งใหม่ มาพร้อมห้องอาหาร Danny Meyer Maialino Mare มีกำหนดจะเปิดในเดือนมกราคมนี้ และจะลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับการมาเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในปีนี้
เมืองหลวงแห่งนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนอย่าง อนุสรณ์สถานวอชิงตัน ที่จะเปิดให้เข้าชมอีกครั้งในเดือนกันยายนนี้ หลังจากปิดซ่อมแซมมานานหลายปี และพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ เปิดให้เข้าชมฟรี
วัปเพอทาล เยอรมนี
เมืองอุตสาหกรรมทางตะวันตกของเยอรมนี อาจจะฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่สถานที่พักร้อนในฝันเท่าใดสนัก แต่วัปเพอทาลมีความพิเศษในตัว นั่นก็คือ ระบบการเดินรถไฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หลังจากปิดให้บริการไปนาน 6 เดือน รถไฟกลับหัวสุดคูลของเมืองนี้ ที่ดูเหมือนกับโผล่มาจากจินตนาการของนักเขียนแฟนตาซีสักเรื่อง ก็กลับมาให้บริการได้อีกครั้ง เมื่อปีที่แล้ว
รถไฟสายนี้ เป็นรถไฟแบบแขวนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในวิธีการสัญจรหลักของคนเมืองนี้อยู่ มีระยะทางให้บริการตลอดเส้นทาง 13.3 กิโลเมตร โดยจะมีช่วงที่ผ่านแม่น้ำ ที่มองดูแล้วน่าหวาดเสียวด้วย
วัปเพอทาล ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีเขียวที่สุดเมืองหนึ่งของเยอรมนี โดยในเว็บไซต์การท่องเที่ยวของเมืองนั้น ได้มีการโฆษณาตัวเองไว้ว่า เป็นสถานที่สำหรับพักอาศัย หลังจากที่เดินทางไปท่องเที่ยวยังจุดหมายอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงมาแล้ว อย่าง โคโลญจน์ หรือดุสเซลดอร์ฟ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการมีทางรถไฟลอยฟ้า
ไวโอมิง สหรัฐ
แกรนด์ เทตัน เยลโลว์สไตน แจ็คสัน โฮล และสิทธิสตรี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เหตุผลเล็กๆ เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น ที่ทำให้ไวโอมิง รัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดในสหรัฐ ควรจะติดอยู่ในรายชื่อสถานที่ที่ต้องไปในปี 2563 นี้
ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐ ไวโอมิงก็เป็นเขตปกครองแรกในสหรัฐ ที่ออกกฎหมายรับประกันว่า ผู้หญิงไม่เพียงแต่จะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังมีสิทธิที่จะนั่งในสภาด้วย เป็นกฎหมายที่ออกมาก่อนหน้าที่รัฐธรรมนูญสหรัฐจะมีบทบัญญัติในเรื่องนี้ถึง 50 ปี
นอกจากจะยอมรับในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศแล้ว ไวโอมิงยังเป็นหนึ่งในป้อมปราการสุดท้ายของอเมริกันตะวันตก ที่มีความงดงามตามธรรมชาติ เป็นแหล่งดึงดูดผู้คนที่รักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง และอยากจะเป็นคาวบอย
ความโดดเด่นของดินแดนแห่งนี้ ยังรวมถึงบรรดาสกีรีสอร์ท ในแจ็คสัน โฮล ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ ยังมีความสนุกตามธรรมชาติ อย่างการจับปลาเทราท์ที่ทะเลสาบในเขตเฟลมมิง จอร์จ หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อในบ่อน้ำพุร้อนแห่งรัฐ
แซมเบีย
ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านความสวยงามของธรรมชาติ ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา โดยพื้นที่มากกว่า 30% ของประเทศ ถูกกำหนดให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งการเดินทางมาเยือนแซมเบีย จะทำให้ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น
อุทยานแห่งชาติที่ขึ้นชื่อของแซมเบีย อาทิ อุทยานแห่งชาติลูแองวาใต้ ซึ่งนอกจากจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณแล้ว ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ราว 60 สายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น เสือดาว ช้าง และควายป่า ห่างออกไปทางตะวันตก เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติคาฟูเอ ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่สุดในแซมเบีย ที่เป็นดินแดนสวรรค์สำหรับพืช และสัตว์
ธรรมชาติอีกแห่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาแซมเบีย คือ น้ำตกวิกตอเรีย น้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีขนาดกว้างกว่า 1,690 เมตร สูงประมาณ 60-100 เมตร แบ่งเป็น 4 ส่วนย่อย ได้แก่ น้ำตกปีศาจ น้ำตกหลัก น้ำตกสายรุ้ง และน้ำตกตะวันออก ไอน้ำจากน้ำตกวิกตอเรียสามารถมองเห็นได้จากระยะทาง 20 กิโลเมตร
หากเบื่อกับการเที่ยวป่าดูสัตว์ แซมเบียก็มีทางเลือกให้สำหรับคนที่อยากอาบแดด แช่น้ำ ที่ทะเลสาบคาริบา ที่ได้ชื่อว่าเป็นริเวียราแห่งแซมเบีย หรือจะเลือกไปนอนเล่นสบายๆ ดูวิวทิวทัศน์ที่สวยเหมือนกับภาพเขียน ในเมืองซิอาวองกา ทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งที่พักมีให้เลือกทั้งเป็นแบบวิลลา และเรือบ้าน
