Entertainment

‘แต๊งค์’ กำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว เผยชีวิตสุดเหวี่ยง-ติดยา เจอภรรยาช่วงดราม่าโรคซึมเศร้า

แต๊งค์ พงศกร ควงภรรยาอุ้มท้อง 7 เดือน เผยเส้นทางความรัก เจอกันเพราะโซเชียลช่วงดราม่าโรคซึมเศร้า พร้อมเปิดใจผันตัวจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่

อดีตนักแสดงวัยรุ่น “แต๊งค์-พงศกร มหาเปารยะ” เผยชีวิตสุดเหวี่ยงสายปาร์ตี้ ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เคยคิดฆ่าตัวตาย พร้อมเผยความรักกับภรรยา “พลอยไพลิน” ในรายการ คุยแซ่บSHOW วันที่ 21 กันยายน 256 ที่มี บูม สุภาพร และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

แต๊งค์ พงศกร ควงภรรยาอุ้มท้อง 7 เดือน เผยเส้นทางความรัก

แต๊งค์ พงศกร ควงภรรยาอุ้มท้อง 7 เดือน เผยเส้นทางความรัก ผันตัวจากนักแสดงสู่หมอดูเปิดไพ่

ตอนนี้ชีวิตพลิกผันมาเป็นหมอดู ?

แต๊งค์ : ด้วยสถานการณ์โควิดที่เข้ามาทำให้ร้านปิดหมด เราก็เลยคิดว่าถ้าเราอยู่บ้านทำอะไร คนอยู่บ้านทำอะไร ทำไมเราไม่ลองหาอาชีพ หารายได้ ที่ทุกคนปิดอยู่บ้าน ซึ่งมีไม่กี่อย่าง เราก็ทำเปิดไพ่ให้คนมาฟัง ให้คนมาปรึกษา และเอาวิชาที่เราเคยร่ำเรียนมาเพราะคุณแม่เคยให้ไปเรียนวิชานี้มาก่อนหน้านี้ ซึ่งของผมเป็นวิชาเปิดไพ่ เป็นศาสตร์ค่อนข้างใหม่

เป็นการเอาตัวอักษรรูน ซึ่งเป็นตัวอักษรของชาวไวกิ้งทางยุโรปตอนเหนือ ซึ่งก่อนหน้านี้ก่อนคุณแม่จะแนะนำ เราเคยดูซีรีส์เกี่ยวกับไวกิ้ง เราก็เลยไปอ่านประวัติศาสตร์ของคนไวกิ้งว่าทำไมคนชาตินี้ถึงประสบความสำเร็จ ทำไมเขาถึงเก่ง เราก็เลยไปดูว่าเขานับถืออะไร ก็เลยทราบว่าเขามีวิธีคุยกับเทพเจ้าด้วยอักษรโบราณพวกนี้

แล้วไพ่พวกนี้ต้องสั่งทำพิเศษไหม ?

แต๊งค์ : ไพ่นี้อาจารย์ผมเขาทำขายอยู่แล้ว ซึ่งในเมืองไทยยังมีไม่เยอะ คือลักษณะของไพ่จะคล้าย ๆ โปสการ์ด ภาพจะสวย ภาพจะมีเนื้อหาเนื้อเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจง่าย เราสามารถอธิบายกับลูกดวง ลูกค้าเราได้ง่าย ๆ และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่มาเปิดไพ่ ?

แต๊งค์ : เอาตรง ๆ ว่าเรามีบุญเก่า มีฐานแฟนคลับจากละคร จากรายการ เขาก็เลยสนใจ บวกกับคนในวงการที่สนใจการดูดวง ตอนนี้คนอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ เขาก็ติดต่อเข้ามา ตัวเราเองตอนเริ่มทำครั้งแรกก็ตื่นเต้น เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะแม่นหรือไม่แม่น แต่พอได้เริ่มดู ได้เริ่มพูดคุยปรากฎว่าฟีดแบกกลับมาดี คนเขาก็บอกว่าชอบ ตรง คือผมก็ไม่อยากอวดอะไรเพราะด้วยวิชาของรูนเป็นวิชาที่ค่อนข้างใหม่ แต่วิชาของเขาค่อนข้างดีตรงที่ เป็นวิชาที่ง่าย รับฟังง่าย และตรงไปตรงมา มันก็เลยเหมือนกับว่าถูกจริตกับคนดู

ดูมานานขนาดไหนแล้ว ?

แต๊งค์ : ก็ตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว คือช่วงที่เรียน คือเรียน 2 เดือน ระหว่างนั้นก่อนที่เราจะเริ่มดูออนไลน์ เราก็ทดลองดูให้พ่อแม่ พี่ น้อง ดูให้เพื่อน ให้คนสนิท คือดูแบบไม่คิดตังค์ ไม่คิดค่าครู เรียกว่าเก็บประสบการณ์

ดูมาแค่ 6 เดือน แต่รับวันละแค่ 6 คน ซึ่งคิวยาวไป 3 อาทิตย์แล้ว ?

แต๊งค์ : ล่าสุดยาวไป 4 อาทิตย์แล้ว

ครั้งหนึ่งดูเท่าไหร่ ?

แต๊งค์ : เราดูไม่แพง เรียกว่าเก็บประสบการณ์ คือ 199 คือ 1 คำถาม ซึ่งเป็นหัวข้อหลัก ๆ อย่างการงาน การเงิน ความรัก แต่ถ้าดูแบบครบชุด ดูแบบเหมา ๆ คือ 499

ถ้าสนใจจะดูกับแต๊งค์ต้องเข้าทางไหน ?

แต๊งค์ : ก็ตามโซเชียลชื่อผมเลย พงศกร มหาเปารยะ ไอจีก็ @thankpm แล้วก็อินบ๊อกซ์มาคุยได้เลย

แต๊งค์ พงศกร

แต่ทราบว่า ก่อนหน้านี้ละครติดต่อมา 5 เรื่อง แต่ไม่รับ เพราะอะไร ?

แต๊งค์ : คือเราไม่ได้มาทางสายการแสดงอยู่แล้ว คือแต่ก่อนคนอาจจะเห็นเราในวงการบันเทิง อาจจะเป็นเพราะคนเห็นเราในละครหินกลิ้ง คือหินกลิ้งเป็นบทที่ใกล้เคียงกับตัวเรา เราก็แสดงได้แบบสบายใจ แต่ถ้าเป็นบทที่ไกลตัว เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อการแสดง ผมก็จะรู้สึกว่าทำได้ไม่ดี ส่วนที่อยู่ในวงการบันเทิงเพราะเราชอบงานพิธีกรมากว่า เราชอบพูดคุย

ทราบว่าก่อนจะมาดูดวงก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตหนักหน่วง ?

แต๊งค์ : ก็หนักหน่วง พูดง่าย ๆ คือผมเข้ามาด้วยการเล่นละคร ตอนนั้นผมยังใส่กางเกงขาสั้นเป็นนักเรียนอยู่ แต่ตอนนี้ผมอายุจะ 40 แล้ว ซึ่งทุกวันนี้คนยังจำในภาพที่เป็นหินกลิ้งอยู่เลย หลังจากนั้นก็มีข่าว ว่าไปคบกับคุณแตงโม (นิดา พัชรวีระพงษ์) มีข่าวกับคุณแตงโมก็มีทั้งดีและร้าย เราก็อยู่ในวงการ ล้มลุกคลุกคลาน มีข่าวโน้น ข่าวนี้

เห็นว่าเป็นสายปาร์ตี้ตัวยงด้วย ?

แต๊งค์ : ก็ใช่ ด้วยความที่เราเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เล็ก ก็จะห่างเหินกับครอบครัวมาพอสมควร ก็เลยไม่ค่อยมีใครดูแล ติดเพื่อนด้วย คือเราติดเพื่อนตั้งแต่อยู่เมืองนอก ออกมาอยู่ข้างนอกก็อยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่กับครอบครัว เราก็จะอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา เราไม่โทษเพื่อน เราไม่โทษใครเลย มันเป็นชะตาชีวิตของเรา

ถามว่าสายปาร์ตี้หนักขนาดไหน พูดตรง ๆ เลยว่า มีทั้งเรื่องยาเสพติด และการเกเร ที่เราถลำลึกไป ซึ่งตอนแรกก็สนุกสนาน เพราะสมัยนั้นเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คือสารเคมีในสมองเราเองก็ไม่ปกติ และมีการอยู่คนเดียวไม่มีที่ปรึกษา พอใช้สารเสพติดจากการใช้เพื่อความสนุก ตอนหลังก็เปลี่ยนเป็นพึ่งพามัน ก็ติดในวังวนนั้นมาตลอด ผมเชื่อว่าทุกคนที่เคยถลำเข้าไปในวังวนนี้ ทุกคนไม่อยากเริ่มยุ่งกับมัน และอยากออกมา แต่มันขึ้นอยู่กับว่าจะออกมาได้หรือเปล่า หรือออกมาอย่างไร สุดท้ายที่ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ เพราะเรามีกำลังใจที่ดีจากครอบครัว

เห็นว่าครอบครัวมีส่วนช่วยมาก เขาช่วยเราอย่างไรบ้างในการที่จะดึงเราออกมาจากตรงนั้น ?

แต๊งค์ : มันไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ มันมีแค่ความที่เราเข้าหากันมากขึ้น คือเข้ามาอยู่ด้วยกันมากขึ้น จากที่ตอนแรกเราค่อนข้างห่างจากครอบครัว พอเรามีปัญหา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ของผมท่านแยกกันอยู่ พอท่านเห็นปัญหาของเรา ทุกคนก็ขยับเข้าหาเรา เข้าใกล้เรามากขึ้น จากการที่ไม่ค่อยพูดคุยกัน มันก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างในช่วงแรกเพราะต้องปรับจูนเข้าหากัน จนตอนนี้มันก็ค่อย ๆ เข้าที่เข้าทาง เรารู้ว่าจุดที่เราควรจะอยู่คือตรงไหน เราควรจะทำตัวอย่างไร และจุดที่เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราต้องการความช่วยเหลือเราก็ต้องรู้ตัว

กว่าจะรู้ตัว เข้าไปอยู่ในวังวนนั้นนานแค่ไหน ?

แต๊งค์ : ผมพูดตรง ๆ ว่าตรงนี้ต้องสู้ตลอดชีวิต มันไม่มีคำว่าหายขาด เพราะฉะนั้นกำลังใจมันสำคัญมาก เพราะเราต้องตัดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นวงจรชีวิตเดิม ๆ ตรงนี้ต้องตัดออกให้หมด ทุกวันนี้ก็ยังต้องสู้กับมันทุกวัน มันไม่มีทางหลุดไปได้ แต่อย่างที่บอกว่าคนที่อยู่ข้างเรา เราต้องหันไปมองให้มาก ๆ โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างเรา คนที่รักเรา และพอพูดถึงครอบครัว ผมเป็นคนที่รอครอบครัวของตัวเองมานานมาก เพราะว่าผมเคยมีครอบครัวที่ห่างกัน ผมไม่อยากใช้คำว่าครอบครัวที่แตกแยก เพราะคุณพ่อ คุณแม่มีสิทธิ์เลือกความรักของตัวเอง ทุกคนก็ยังรักผมอยู่ เพียงแต่เราห่างกัน

3 แต๊งค์ พงศกร1

บำบัดโรคซึมเศร้านานไหม ?

แต๊งค์ : ในเคสผมจะอีรุงตุงนังนิดหนึ่ง เพราะมีเรื่องของสารเสพติดด้วย ซึ่งมันส่งผลกระทบกันโดนตรง และหลายคนก็เป็นโรคนี้ เพราะไปยุ่งกับสิ่งเสพติด อีกหลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้วแบบไม่รู้ตัว พอไปยุ่งสารเสพติดก็เหมือนซ้ำเติมตัวเองเข้าไปอีก เราก็ต้องค่อย ๆ ปลดสลักออกทีละขั้น ต้องแก้ไขปัญหาไปทีละเสต็ป ของผมก็ต้องตัดเรื่องเพื่อน เรื่องสิ่งเสพติด ตัดวงจรที่ไม่ดีออกไปก่อน สุดท้ายแล้วพอตัดพวกนี้ออกมาอาการป่วยของเราก็จะทุเลาลงเอง หลังจากนั้นเราก็จะเริ่มมีสติมากขึ้น แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

เรารู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคซึมเศร้า ?

แต๊งค์ : เรารู้เพราะอารมณ์เรารุนแรง บางคนใช้สารเสพติดแล้วอารมณ์รุนแรงนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว แต่เราถึงขึ้นทำร้ายตัวเอง เคยคิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท้าย ผมก็อยากจะบอกว่า ณ วันนั้น มันเป็นแค่การข่มขู่มากกว่า เพราะตอนนั้นแฟนจะเลิกจากกับเรา เราเลยใช้การทำร้ายตัวเองข่มขู่ สุดท้ายก็เป็นข่าวใหญ่ เพราะคนเป็นห่วงเรา ตอนนี้เราก็เลยกลับมาเป็นห่วงตัวเอง เพราะการทำให้คนอื่นเป็นห่วงมันไม่โอเค

เพราะการข่มขู่ตอนนั้นความสัมพันธ์กับแฟนไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม ?

แต๊งค์ : ก็ไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งคนที่มาตามเก็บ ตามเช็ดเรื่องราวของเราคือคุณแม่ คุณแม่ก็จับเราเข้าโรงพยาบาล ให้มาสงบสติอารมณ์ก่อน สุดท้ายก็กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ด้วยความช่วยเหลือของคุณแม่นี่แหละ และตอนนั้นโดนทำโทษ โดนยึดหมด ทั้งอายัดบัญชี กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ รถ กักบริเวณ ห้ามติดต่อกับเพื่อนเก่า ห้ามติดต่อกับแฟนเก่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะตอนนั้นผมจะตามไปราวีแฟนเก่า คือเราจะไปง้อนั่นแหละ พอต้องมาอยู่คนเดียว เราก็แก้ปัญหาโดยการออกกำลังกาย ตื่นเข้ามาก็เข้ายิม ผมว่าถ้าเรามีความสุขด้วยตัวเราเอง มีคุณค่าด้วยตัวเราเอง เราก็สามารถเอาชนะอย่างอื่นได้

ชีวิตปัจจุบันเป็นอย่างไร ?

แต๊งค์ : ณ วันนี้ผมมียาดี คือตอนนี้มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว มีภรรยาเป็นของตัวเองแล้ว และภรรยาก็กำลังท้อง 7 เดือน มันเป็นกำลังใจให้เราแก้ไขตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเอง มีการยับยั้งชั่งใจมากขึ้น

ตอนที่ทราบว่าคุณพลอยท้องเป็นอย่างไร ?

แต๊งค์ : คือพอเราคบกันสักพักเราก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เพราะเราเป็นคนสมัยใหม่ ช่วงต้นปีประจำเดือนเขาเริ่มขาด พอขาดได้ 2 เดือน เราก็ไปซื้อที่ตรวจมา 4 อัน 4 ยี่ห้อ 4 แบบ แล้วตรวจ 4 อัน ปรากฎว่า 2 ขีด ทั้ง 4 อันเลย วันรุ่งขึ้นเราก็เลยโทรไปนัดคุณหมอ ช่วงบ่ายคุณหมอก็จับขึ้นเตียงอัลตร้าซาวด์เลย แล้วคุณหมอก็บอกว่า แสดงความยินดีด้วย ลูก 2 เดือนแล้วนะคะ ก็เห็นเป็นตัวแล้ว หลังจากนั้นเราก็ยกสายโทรหาคุณย่าของหลาน คุณพ่อคุณแม่ผม และครอบครัวฝั่งของพลอย ตกลงว่าจดทะเบียนไว้ก่อน เพราะช่วงนี้ติดโควิดยังไม่สามารถจัดงานอะไรได้

ตอนจดทะเบียนก็มีอุปสรรค เพราะวันที่จะไปจดทะเบียน เราขับรถไปเขตยานนาวา ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ช่วงนี้ติดโควิด 50 เขตทั่วกรุงเทพไม่รับจดทะเบียนสมรส เราก็เลยไปจดทะเบียนที่ชะอำ จ.เพชรบุรี ขับรถไป เพราะเราไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตว่าที่ไหนรับจดทะเบียนบ้าง เขาบอกว่าที่ชะอำจดทะเบียนได้ เราก็ขับรถไปกัน 2 คน ส่วนญาติผู้ใหญ่ผม และของเขาไม่มีใครได้ไปด้วย เพราะเขาก็เก็บตัว พอไปถึงเขตก็จดไม่ได้อีกเพราะไม่มีพยาน เพราะตามกฎหมายจดทะเบียนต้องมีพยานไปด้วย 2 คน

สมัยก่อนเขาก็ให้เจ้าหน้าที่เขตลงชื่อเป็นพยานให้ แต่ในปัจจุบัน เขาไม่อยากให้เจ้าหน้าที่เป็นพยาน ก็อยากให้คู่สมรสหามาเอง เพราะเวลามีปัญหาฟ้องหย่ากัน สุดท้ายผมก็ต้องไปให้พี่วินมอร์เตอร์ไซด์และคนขับรถสองแถวมาเป็นพยาน และเราก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้เขา ก็ให้เขาคนละ 200 บาท รวมค่าน้ำมันอีก 100 บาท วันนั้นก็เลยได้ลงภาพจดทะเบียนในโซเชียลไป

3 แต๊งค์ พงศกร4

เห็นว่าเป็นเพราะคุณพลอยทำให้เขาเปลี่ยนไป ?

พลอยไพลิน : ก็นานเหมือนกัน กว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นอีกคนได้

แล้วรู้จักกันได้อย่างไร ?

พลอยไพลิน : เขาแอดเฟซบุ๊กมา และเราก็คุ้นหน้าเขา เรารู้สึกว่าเขาน่าจะใช่ แต๊งค์ พงศกร ซึ่งต้องย้อนเวลากลับไป ซึ่งตอนนั้นหนูอายุประมาณ 12-13 ปี และเราก็อายุห่างกัน 10 ปี ช่วงนั้นเขามีข่าวกับพี่แตงโม ซึ่งพอเราดูในเฟซบุ๊กของเขา มีเพื่อนเยอะมาก ซึ่งดาราจะมีเพื่อนไม่เยอะขนาดนั้น เราก็เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่

แต๊งค์ : คือตอนเริ่มคุยเราก็ทักเฟซบุ๊กไป เพราะตอนนั้นเป็นวันที่ผมโดนยึดทุกอย่างทั้งโทรศัพท์ ทั้งรถ ทั้งบัญชี แล้วผมมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่งเป็นเครื่องของน้องชาย แล้วเราก็มีแค่เฟซบุ๊ก เราก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร เรากดแอดเฟซไปเพราะเขาน่ารัก ปรากฎว่าเขากดรับเฟรนด์ตอนตี 1 ตี 2 พอเขารับแอดผมก็พิมพ์ว่ายังไม่นอนเหรอ แล้วน้องเขาก็คุ้นหน้าเรา แล้วเขาก็ส่งข้อความมาถามว่าใช่ตัวจริงหรือเปล่า เราเห็นเขาตอบกลับว่าใช่ ก็แค่นั้น

เห็นว่าแต๊งค์จีบ ฮาร์ดเซลมาก ?

พลอยไพลิน : ก็ฮาร์ดเซลเพราะคืนนั้นที่เขาทักมาคือตอนตี 3 คือตอนที่เขาทักมาเป็นช่วงที่กำลังมีดราม่าว่าเขาจะฆ่าตัวตาย และเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งตอนนั้นเราก็เพิ่งโดนเทมาเหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้านั้น 2 ปี หนูก็เคยเป็นโรคซึมเศร้าแล้วก็รักษาตัวอยู่ประมาณ 2 ปี เราเพิ่งดีขึ้น เราก็คุยกับเขาเรื่องโรคซึมเศร้าไม่เคยคุยเรื่องอื่น ว่าเห็นเขาเป็นมาตลอดทำไมไม่หายสักที หนูก็เป็นเคยเป็น รักษา 2 ปี ก็หายแล้วนะ

แต๊งค์ : หลายคนอาจจะมองว่าเป็นอารมณ์คนป่วยมาเจอคนป่วยหรือเปล่า คือมันก็ไม่เสมอไปนะ คือโรคนี้บางคนขาดอย่างหนึ่ง อีกคนขาดอย่างหนึ่งพอมาเจอกันแล้วก็มาเติมเต็มกัน หรือว่าเราอาจจะมีมุมมองชีวิตในอนาคตที่ตรงกันก็ได้ ก็มาช่วยกัน

3 แต๊งค์ พงศกร2

พอได้คบกันแต่ก็เกือบไปไม่รอด ?

แต๊งค์ : ใช่คืออย่างที่บอกผมมีด้านมืด บางทางกับแฟนเราก็มีเกเรมาก แต่เขาก็ตามจับได้ตลอด

พลอยไพลิน : คือเขาจะมีเรื่องเกเรมากแต่เขาไม่เคยเจ้าชู้ เขาจะมีเรื่องอื่น ซึ่งเราไม่โอเค ซึ่งเราก็บอกเขาว่าถ้าทำอีกเราจะไปนะ เขาก็นึกว่าเราพูดเล่นไม่กล้าไปหรอก จนปลายปีที่แล้ว เราไม่ไหวแล้ว เราคิดว่าถ้าอยู่แบบนี้เราอยู่คนเดียวมันง่ายกว่า เราก็เก็บข้าวของเก็บเสื้อผ้าออกไปเลย แต่ปรากฎว่าลืมพาสปอร์ตกับของบางชิ้น ซึ่งเขาก็ตามไป

แต๊งค์ : คือตอนนั้นน้องจะไปแล้ว แต่เขาลืมพาสปอร์ต และเพราะพาสสปอร์ตเล่มนี้แหละทำให้เราคิดได้ว่า คนเราถ้าจะตัดให้ขาดจากชีวิต จะเลิกกันจริง ๆ พาสปอร์ตเล่มเดียวลืมบ้านแฟนเขาไม่กลับมาเอาหรอก เขากลับไปทำใหม่ แต่อันนี้เขาโทรมาบอกให้เราเอาไปคืน เราก็มองว่ามันเป็นฟางเส้นสุดท้าย ขาไปเราเอาพาสปอร์ตไปเล่มเดียว ขากลับเราหอบกระเป๋าเขากลับมาด้วย

อยากบอกอะไรกับภรรยา ?

แต๊งค์ : อย่างที่บอกไปว่าตัวผมเองก็รอครอบครัวของตัวเองมานานแล้ว แล้วเขาก็เหมือนเป็นคนที่ฟ้าได้ส่งมา เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องอยู่กับรับเราได้ พร้อมที่จะไปกับเรา พร้อมที่จะช่วยเหลือเรา และพลอยเขาก็เสียสละมาเพื่อช่วยเหลือผม ช่วยเหลือครอบครัวผม ในการทำชีวิตเราให้สมบูรณ์ขึ้น

พลอยไพลิน : อย่างที่บอกตอนแรกว่าเขาเป็นคนที่ต้องแก้ไขเยอะมาก เขาเกเรเยอะมาก มันอาจจะต้องใช้เวลา แต่เขาก็พิสูจน์ให้พลอยเห็นว่า เขาไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้ทีเดียว แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกันทุกอย่างที่ผิดพลาดมันหายไป จนตอนนี้มันหายไปแทบจะหมดแล้ว และในบางมุมพลอยเองก็มีมุมมืด ๆ ของเรา ซึ่งเราก็ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ ซึ่งเราก็ขอบคุณเขาที่แม้ว่าบางครั้งเขาจะเข้มแข็งไม่ได้แต่เขาก็พยายามที่จะเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พักพิงให้เรา

ติดตามรับชมคำสัมภาษณ์แบบเต็ม ๆ ย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo