ใครที่ยังมองเรื่องของความเป็นตลาดแมส ตลาดของทะเลสีเลือดเป็นกระแสและอยากกระโจนเข้าไปแข่งขัน อาจเหนื่อยสักหน่อยในโลกอนาคต เพราะถึงเม็ดเงินจำนวนหนึ่งจะอยู่กับโลกแบบแมส ๆ ก็จริง แต่ธุรกิจก็ต้องแก่งแย่งกับแบรนด์จำนวนมากเพื่อให้ได้เข้าถึงเม็ดเงินเหล่านั้น
ในอีกด้าน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็กำลังทำให้ธุรกิจจำนวนหนึ่งมองเห็นโอกาสใหม่ และบางส่วนก็เข้าไปลอยลำอยู่ในตลาดนั้นกันแล้วอย่างเงียบเชียบ ซึ่งเทคโนโลยีที่เรามองว่าเป็นโอกาสใหม่ของภาคธุรกิจอย่างมากก็คือ 5G ในฐานะเมกะเทรนด์ที่จะมาเปลี่ยนอนาคต
โดยการมาถึงของ 5G กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางทั่วโลก ในฐานะเครื่องมือของการยกระดับประสิทธิภาพเครือข่ายให้เร็วและแรงขึ้นจากเดิมที่เป็นสิบเท่าตัว ซึ่งจะทำให้สิ่งที่เคยทำไม่ได้ในอดีต หรือทำได้แต่ไม่สามารถสร้างประสบการณ์ดี ๆ ได้ เช่น เทคโนโลยี Virtual Reality, Augmented Reality, 3D Hologram ได้มีโอกาสแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการ
นอกจากนั้น ความสามารถของ 5G ในเรื่อง Capacity ยังเหนือว่า 4G ทำให้ในพื้นที่ขนาดหนึ่งตารางกิโลเมตร เครือข่าย 5G สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลได้ในหลักล้านอุปกรณ์ เรียกว่าเมืองอัจฉริยะได้แจ้งเกิดพรึ่บพรั่บกันทั่วโลกเป็นแน่
ประการสุดท้าย 5G ยังเด่นในเรื่อง Latency หรือระยะเวลาในการตอบสนองที่รวดเร็วมาก (เนื่องจากเสาสัญญาณเครือข่ายแตกต่างจาก 4G) ทำให้ธุรกิจในฝันเช่น รถอัจฉริยะไร้คนขับ หรือการผ่าตัดทางไกล ได้มีโอกาสแจ้งเกิดเช่นกัน (เฉพาะในประเทศที่พร้อม)
อย่างไรก็ดี ในมุมมองของยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจโทรคมนาคมของไทยอย่างเอไอเอส ทรู และดีแทค ผ่านงานสัมมนา “5G จุดเปลี่ยน Landscape เศรษฐกิจไทย” ก็ยังมีหลายจุดที่มองเห็นแตกต่างจากเวทีโลก หนึ่งในนั้นก็คือสภาพการณ์ของประเทศไทยที่เป็นประเทศผู้บริโภค ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิต ซึ่งประเทศผู้บริโภคที่ต้องเอาแต่ซื้ออย่างเดียว จะต้องมีกำลังซื้อขนาดไหนจึงจะมาซัพพอร์ตค่ายมือถือให้ลงทุนเครือข่าย 5G และสามารถเก็บเกี่ยวรายได้กลับมาอย่างคุ้มทุน
เมื่อไม่มีกำลังซื้อมากพอ คำถามต่อไปคือ มีรัฐสนับสนุนหรือไม่ โดยในจุดนี้ นายวิเชาว์ รักพงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ยกตัวอย่างจีนว่าให้การสนับสนุนธุรกิจโทรคมนาคมอย่างมาก เนื่องจากจีนตระหนักดีว่า สิ่งเหล่านี้คือโครงสร้างพื้นฐานของอนาคต หากเตรียมไว้พร้อมสรรพ ธุรกิจจีนก็จะกระโจนลงไปแข่งขันได้เหนือกว่าคู่แข่ง และเมื่อธุรกิจจีนเติบโต ภาษีก็จะไหลกลับเข้าสู่ประเทศจีนอีกครั้ง
แน่นอนว่า สำหรับเมืองไทยนั้นเป็นหนังคนละม้วน เพราะการประมูลคลื่นความถี่ที่ผ่านมาได้ดึงเงินออกจากกระเป๋าโอเปอเรเตอร์รายต่าง ๆ มาไม่น้อย
สิ่งที่น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการกระจายการใช้งาน 5G นั้นจึงอาจเป็นเรื่องของการ Customized ประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น ภาคการเกษตร ภาคการบริการ โดยนางอเล็กซานดรา ไรซ์ ซีอีโอคนใหม่จากดีแทค ได้เล่าถึงกรณีศึกษาจากสตาร์ทอัพริคัลท์ ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยเกษตรกรไทยให้สามารถนำเสนอผลผลิตทางการเกษตรต่อธุรกิจขนาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น เช่น ฟาร์มของคุณแก้ว เกษตรกรผู้ปลูกเมล่อน ที่สามารถขายเมล่อนให้กับการบินไทยได้
ไม่เพียงเท่านั้น เทเลนอร์หนึ่งในผู้ถือหุ้นของดีแทคยังมีเคสในการสร้างเมืองอัจฉริยะที่นอร์เวย์อีกหลายเคส ซึ่งเธอมองว่าสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้เช่นกัน หาก 5G มาถึง
ทั้งหมดนี้จึงอาจเป็นบทสรุปที่ว่า แม้จะเห็นโอกาสในการใช้ 5G แต่ถ้าไม่มีกำลังซื้อ หรือกำลังการสนับสนุน (อย่างมีวิสัยทัศน์) ของภาครัฐ การเกิดขึ้นของ 5G ก็อาจต้องรอออกไปอีกสักระยะ ซึ่งในระหว่างการรอนี้ บางทีมูลค่าความเสี่ยงอาจสูงกว่าการตัดสินใจก็เป็นได้
