“อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์” ยังเผชิญกับภาวะความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ทั้งจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่สะดุดลง
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC โดย จิรภา บุญพาสุข นักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า
ปัจจุบันความต้องการใช้เซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
ขณะที่โลกยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สะดุด จากปัญหาสงครามการค้า และลุกลามมาเป็นสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
ทั้งหมดนี้ ที่เป็นแรงกดดันให้ราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์ความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทาน จะเริ่มคลี่คลายลง จากการกลับมาผลิตได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามแต่ในระยะข้างหน้า ยังคงต้องจับตามองทิศทางและความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวสูงขึ้นอีกครั้งตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานการผลิตยังมีความเสี่ยงรุมเร้าอยู่อีกหลายด้าน
ความไม่สมดุลดังกล่าว ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้หลายประเทศ พยายามสร้างความมั่นคงด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศตนเองมากขึ้น
ปัจจุบันหลายประเทศมีการเร่งสร้างความมั่นคงด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศตนเอง เช่น สหรัฐ และสหภาพยุโรป ที่ออกกฎหมาย CHIPS Act เพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
ส่วนผู้ผลิตในภูมิภาคเอเชีย ก็มีความพยายามที่จะรักษาฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศตนเองเช่นกัน รวมไปถึงการออกมาตรการตอบโต้ทางการค้า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ กรณีของรัฐบาลจีน ที่มีการออกมาตรการตอบโต้จากการถูกกีดกันทางเทคโนโลยีจากสหรัฐ
อย่างไรก็ดี การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ยังคงมีความท้าทายอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณการผลิต ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ขณะเดียวกัน แต่ละประเทศยังมีการย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีศักยภาพการผลิตสูง
SCB EIC มองว่าการย้ายฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของผู้เล่นต่างชาติเข้ามาในไทย มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ไทยสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ผลิตระดับ Front end และ Back end ในอนาคตได้
การเกิดห่วงโซ่อุปทานการผลิตใหม่ของโลก จะส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังไทย และเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ในไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ SBC EIC มองว่า ในอนาคตอุตสาหกรรมชิปของไทย มีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อยอดไปสู่ระดับ Front end และระดับ Back end ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
แต่ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ไปจีน อาจได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อที่ลดลงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในไทยที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลดีต่อการจ้างงานภายในประเทศในระยะยาว รวมไปถึงการเกิดขึ้นของห่วงโซ่อุปทานการผลิตใหม่ที่รองรับตลาดภายในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัว ทั้งการจับมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ รวมทั้งการพัฒนาขีดความสามารถของตนเองเพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
การพัฒนาอุตฯเซมิคอนดักเตอร์ของไทย ยังคงมีความท้าทายจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จึงต้องปรับตัว โดยมีกลยุทธ์สำคัญ ดังนี้
1. การสร้างความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความเเข็งแกร่งภายในอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
2. มองหาพันธมิตรใหม่ในการร่วมลงทุนจากอานิสงส์ของการย้ายฐานการผลิต
3, การพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ โดยการวิจัยและพัฒนามากขึ้น
4. ส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน การเตรียมความพร้อมแรงงานทั้งด้าน Hard skills และ Soft skills เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุตฯเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ส่องอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย มูลค่ารวมแตะ 2.61 ล้านล้านบาท โตต่อเนื่องยาว 3 ปี
- ธอส. อัดแน่น 10 ฟังก์ชันใหม่ ‘GHB ALL GEN’ ย้ำธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ
- ‘TDRI’ วิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล ‘เศรษฐา’ แนะแจก ‘เงินดิจิทัล’ แบบนี้วิธีที่ดีที่สุด