ข่าวคราวเกี่ยวกับหมาจรจัดกว่า 10 ตัวรุมกัดเด็ก ที่มีการเผยแพร่ผ่านผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พันธนะ ไชยช่อฟ้า ระบุเหตุการณ์เกิดขึ้นบริเวณชุมชนใต้สะพานสารสิน บ้านท่านุ่น ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จนทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บ ทำให้มีความเห็นมากมาย ที่ต้องการให้ใช้วิธีกำจัดหมาจรจัดทิ้ง และแขวะไปยังบรรดาคนรักสัตว์ว่า ชอบออกมาเรียกร้องการคุ้มครองสัตว์ แต่เวลาสัตว์ทำผิด ไม่เห็นเคยคิดถึงการคุ้มครองเด็กหรือผู้เสียหายบ้าง
ถือเป็นมุมมองที่ถ่ายทอดผ่านอารมณ์ ที่เราเห็นกันทุกครั้งที่เกิดเรื่องทำนองนี้ ซึ่งน่าเสียดายที่เราไม่เคยใช้พลังทางสังคมมาขับเคลื่อนให้ภาครัฐจัดการปัญหาอย่างจริงจังได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ก็จะจบตรงที่หมาจรจัดถูกกวาดล้างในช่วงเวลาหนึ่ง จนเป็นที่สะเทือนใจของกลุ่มคนรักสัตว์ แต่แนวทางแก้ปัญหาและการจับมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนกลับไม่เกิดขึ้น
ทั้งๆ ที่ กรมปศุสัตว์มีแผนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาสุนัขและแมวไม่มีเจ้าของอย่างยั่งยืนปี 2559-2563 ซึ่งมีเป้าหมายบริหารจัดการจำนวนสุนัขและแมวไม่มีเจ้าของให้เหลือไม่เกินร้อยละ 5 แต่อย่างที่เห็นผ่านมาสองปีเศษแล้ว จำนวนสุนัขและแมวจรจัดไม่ได้ลดลงเลย
ล่าสุดเฉพาะในพื้นที่กทม.มีสุนัขจรจัดมากถึง 1.4-1.5 แสนตัว ยังไม่นับรวมถึงแมวจรจัดที่ปัจจุบันเพิ่มปริมาณมากขึ้น เพราะจับทำหมันยากกว่า
โดยส่วนตัวเห็นว่า การแก้ปัญหานี้เริ่มจากจิตสำนึกของผู้เลี้ยง ไม่ทอดทิ้ง แต่รักสัตว์เลี้ยงเขาด้วยความรับผิดชอบ ขณะที่กรมปศุสัตว์ควรเป็นเจ้าภาพร่วมมือกับท้องถิ่นและเครือข่ายคนรักสัตว์ เพื่อร่วมกันทำงานอย่างจริงจัง
รัฐบาลต้องใส่ใจจัดงบประมาณที่เพียงพอในการแก้ปัญหา กำหนดวิธีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม เช่นการให้แต่ละชุมชนสำรวจจำนวนหมาแมวจรจัด ทำบันทึกไว้เป็นข้อมูล เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จัดชุดประชาสัมพันธ์ถึงวันเวลาในการส่งรถสัตว์แพทย์เคลื่อนที่ไปฉีดวัคซีน ทำหมัน ในแต่ละชุมชน ซึ่งจะช่วยให้คนที่รักสัตว์ง่ายต่อการนำหมา แมวจรจัดที่ตนให้อาหารไปรับบริการ รวมถึงขยายจุดบริการฉีดวัคซีน ทำหมัน ให้มีมากขึ้น เพราะในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อยมาก ทำให้คนรักสัตว์ที่ให้อาหารหมา แมวจรจัด แม้อยากจะพาไปฉีดวัคซีน ทำหมัน ก็ทำไม่ได้เต็มที่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ถ้ามีบริการฟรีหรือราคาถูก เชื่อว่าจะมีคนนำหมาแมวจรจัดไปใช้บริการมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ควรมีแหล่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์พักพิงหมาแมวจรจัดทั่วประเทศ เครือข่ายคนรักสัตว์ที่มีบทบาทในการช่วยเหลือหมาแมวจรจัด หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ รวมเอาไว้ในที่เดียวกัน ในลักษณะของศูนย์ข้อมูลหมาแมวจรจัด ซึ่งนอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกของผู้ที่ต้องการแจ้งข้อมูล หรือประสานงานเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้ภาครัฐมีข้อมมูลที่เพียงพอในการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
และถ้าจะให้ดีควรจะมีคณะกรรมการชุดใหญ่ในระดับชาติ ที่มีตัวแทนจากหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาร่วมถึงเครือข่ายคนรักสัตว์ ร่วมกันเป็นผู้ขับเคลื่อนในเรื่องงบประมาณ การจัดโครงสร้างคณะกรรมการในแต่ละจังหวัด เพื่อบูรณาการการแก้ปัญหาหมาแมวจรจัดไว้ในที่แห่งเดียว โดยไม่ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ปัญหาโดยลำพัง ก็จะเป็นการยกระดับการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอในการแก้ปัญหาด้วย
เรื่องหมาแมวจรจัด ไม่ใช่เรื่องขี้หมาที่ควรมองข้าม แต่เป็นปัญหาสังคมที่ควรร่วมกันแก้ปัญหาอย่างตั้งใจ ไม่ใช่จบอยู่ที่สงครามน้ำลายระหว่างคนรักสัตว์กับคนชังสัตว์เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้