หลังจากดำเนินธุรกิจครบ 5 ปี ในปีนี้ โดยเริ่มจากที่ดิน 3 แปลง และโรงแรมสันติบุรี สมุย จนถึงวันนี้ “นริศ เชยกลิ่น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าเดินมาถูกทางเพราะเป็นไปตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่วางไว้ โดยเฉพาะปีนี้ ที่วางวิสัยทัศน์ว่าเป็น “ปีแห่งการเก็บเกี่ยว” เนื่องจากทุกโครงการที่ลงทุนไปเริ่มออกดอกผลให้เห็น
“5 ปีที่ผ่านมา เราเรียนรู้ว่า การทำงานต้องยืดหยุ่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และในอีก 5 ปีจากนี้ วิสัยทัศน์และความ ท้าทายสำคัญคือ การรักษาการเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 30-40% เนื่องจากฐานธุรกิจใหญ่ขึ้น”
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเก็บเกี่ยวในปีนี้ ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการลงทุนเพื่อลุยขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยวางงบลงทุนไว้กว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับพัฒนาโครงการและซื้อกิจการ รวมถึงการร่วมทุน ในธุรกิจหลัก 3 ขาหลักได้แก่ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย (Residential Development) ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก (Commercial & Retail) และธุรกิจโรงแรม (Hospitality)
สำหรับโครงการใหม่ในปีหน้า คาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมหรู ทำเลซอยรางน้ำ รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อร่วมทุนโครงการโรงแรมและที่อยู่อาศัยที่ประเทศเมียนมาร์ โดยว่าจ้างบริษัทวิจัยและศึกษาโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังมองหาธุรกิจโรงแรมเพื่อซื้อกิจการต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว เช่น ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนการเดินหน้าสร้างโรงแรมที่มัลดีฟส์แห่งที่ 3 อีกด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความมั่นคงของรายได้ คือ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก โดยเฉพาะโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ได้รับการตอบรับจากผู้เช่าเกินความคาดหมายด้วยอัตราการเช่าพื้นที่กว่า 92% ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เอส โอเอสซิส” บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และ พื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้
ขณะที่แผนงานระยะยาว บริษัทคาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562-2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX
อีกโครงการสำคัญที่เกิดขึ้นในปีนี้คือ การเปิดตัวโครงการครอสโรดส์ (CROSSROADS) ประเทศมัลดีฟส์ เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งในปีหน้าจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีอยู่ที 2,000 – 3,000 ล้านบาท ส่วนการเข้าซื้อโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ จนถึงขณะนี้ครบ 1 ปีทำให้รับรู้รายได้ในปีนี้ รวมถึงมีแผนนำบริษัทในเครือที่พัฒนาและบริหารธุรกิจโรงแรม คือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมมุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนเข้าตลาดฯได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2562
ด้านนายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR กล่าวว่า การนำ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงปลายปีนี้ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและขยายธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ โดยภายในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมและห้องพัก อย่างน้อยอีกเท่าตัว จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 39 โรงแรม เป็น 80 โรงแรม เพิ่มจำนวนห้องพักจาก 4,647 ห้อง เป็นไม่ต่ำกว่า 8,000 ห้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของกลุ่มโรงแรมให้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จากปี 2561 รายได้จากกลุ่มโรงแรมอยู่ที่ 2,576 ล้านบาท
ในส่วนของการดำเนินธุรกิจโรงแรม จะประกอบด้วยแพลตฟอร์มธุรกิจ 4 แบบ คือ 1. โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่านข้อตกลงแฟรนไชส์กับแบรนด์ระดับโลก 3. โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4. โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวแบรนด์ “SAii” แห่งแรกที่มัลดีฟส์ และวางเป้าหมายพัฒนาให้เป็นโมเดลโรงแรมที่มีทั้งลงทุนเองและเข้าไปบริหารให้ผู้ประกอบการรายอื่น โดยวางตำแหน่งเป็นโรงแรมหรูระดับ 4-6 ดาว นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาแบรนด์ใหม่ เพื่อจับตลาดโรงแรมระดับ 3-3.5 ดาวอีกด้วย
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ SHR เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 63.1% โดยในปี 2559 ปี 2560 และปี 2561 รายได้จากการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของ SHR เท่ากับ 968.0 ล้านบาท 1,074.0 ล้านบาท และ 2,575.7 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับงวดสิ้นสุด 6 เดือนปี 2562 รายได้จากดำเนินงานตามงบการเงินรวมของ SHR เท่ากับ 1,751.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.8% จาก 715.6 ล้านบาท ของช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญของการเติบโตของรายได้ของ SHR ได้แก่ การลงทุนใน Outrigger Resorts เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง