เข้าสู่การลงทุนในเดือนแรกของปี 2562 ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์กันว่าในช่วงต้นปีตลาดหุ้นไทยน่าจะกลับมาคึกคักได้อีกครั้งและยังคงมีความหวังว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางเดือนมกราคมของทุกปีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินจะรายงานกำไรงวดไตรมาส 4 ของปี 2561
จากการสำรวจความคิดเห็นของโบรกเกอร์พบว่า ส่วนใหญ่คาดการณ์กำไรแบงก์ในไตรมาส 4 ของปี 2561 จะเติบโตประมาณ 17-23% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตในระดับสูง ส่วนสาเหตุที่กำไรเติบโตได้ดีเนื่องจากการตั้งสำรองลดลง แต่หากเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2561 ส่วนมากเชื่อว่ากำไรจะลดลง เนื่องจากไม่มีกำไรจากรายการพิเศษ
เมื่อกำไรไตรมาส 4 ปี 2561 เติบโตดีจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ภาพรวมกำไรปี 2561 เพิ่มขึ้นสูงถึง 12.6% และถือว่าเป็นกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความสามารถในการทำกำไรในปี 2562 น่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ เพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นได้อีก
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) คาดว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ของปี 2561 ของกลุ่มธนาคาพาณิชย์จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 7.8%จากงวดไตรมาส 3 ของปี 2561 โดย KTB และ KBANK คาดว่าจะรายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุด ทั้งนี้ หุ้นเด่นที่เลือกในกลุ่มได้แก่หุ้น BBL, KBANK และ SCB ตามลำดับ
บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2561ของกลุ่มอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 10.8% จากไตรมาส 3 ปี 2561 แต่เพิ่มขึ้น 18% จากงวดเดียวกันของปีกอ่น แต่กำไรที่คาดว่าจะลดลงจากงวดไตรมาส 3 ปี 2561 เกิดจากกำไรจากการขายเงินลงทุนที่ลดลง (TMB ขาย TMBAM) หากไม่นับรายการดังกล่าว คาดว่ากำไรปกติจะลดลงราว 5% จากไตรมาส 3 ปี 2561 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล
ส่วนกำไรที่ดีขึ้นจากงวดไตรมาส 4 ปี 2560 เกิดจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลงตามคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่ เราคาดว่ากำไรสุทธิของ KTB และ BBL จะโตได้ทั้งงวดไตรมาส 3 ปี 2561 และไตรมาส 4 ปี 2560
ทั้งนี้ หากกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2561เป็นไปตามที่คาดจะทำให้กำไรสุทธิปี 2561 ของกลุ่มอยู่ที่ 2.07 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2560 โตดีสุดในรอบ 5 ปี เราเห็นแนวโน้มที่ดีของรายได้ดอกเบี้ยรับ และการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น แต่ได้รับแรงกดดันจากรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ชะลอตัวลง ธนาคารที่คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรดีที่สุดในปี 2561 คือ KTB
ด้าน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่ากำไรสุทธิรวมของ 10 แห่งที่ฝ่ายวิจัยศึกษาจะอยู่ที่ 4.58 หมื่นล้านบาท หดตัว 16.6% จากไตรมาส3ปี 2561 แต่เพิ่มขึ้น 10.2%จากงวดเดียวกันปีก่อน แม้คาดรายได้ดอกเบี้ย รับสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมฯ จะเติบโตสูงขึ้นในช่วงฤดูกาล แต่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานก็เพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาลเช่นกัน อีกทั้ง ไม่มีการบันทึกรายได้พิเศษของ TMB ในงวดนี้ โดยคาดว่า KKP จะมีกำไรสุทธิเติบโต 44.3%จากงวดเดียวกันปีก่อนสูงสุดในกลุ่มฯ ซึ่งมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมฯ IPO 3 ดีลใหญ่ ตามด้วย KTB เติบโต 34.4%จากงวดเดียวกันปีก่อน และ KBANK 21.3% ส่วน TMB หดตัว 18.7%จากงวดเดียวกันปีก่อน
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ยังไม่มีธนาคารใดนำร่องปรับขึ้นหลังจาก กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1.75% แต่ก็มีหลายแห่งทยอยปรับขึ้นไปบ้างตั้งแต่ต้นปี 2561 โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว/เงินกู้ที่ต่ำเกินไปขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ ทั้งนี้เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะทยอยปรับขึ้นในปี 2562 โดยทุกๆ 0.25% ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้กำไรสุทธิปี 2562 ของกลุ่มฯ เพิ่มขึ้น 1.0% โดย KTB กำไรเพิ่มขึ้นสูงสุด 3.70% ตามด้วย BBL 3.01% และ KBANK 1.58%
โดยรวมจึงยังคงคงน้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด คาดกำไรสุทธิปี 2561 เติบโต 9.9%จากงวดเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องปี 2562 ที่เติบโต 5.1%จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเชื่อว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นและทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ขาขึ้นจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของสินเชื่อและผลการ
ขณะที่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำให้น้ำหนักลงทุนหุ้นแบงก์มากกว่าตลาด เนื่องจากคาดว่า กำไรสุทธิรวมในไตรมาส 4 ของปี 2561 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 9% จากงวดไตรมาส 3 ปี 2561 โดยการเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน มาจากการกลับมาตั้งสำรองฯที่ระดับปกติ
กำไรสุทธิลดลงจากงวดไตรมาส 3 ปี 2561 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้นตามฤดูกาล และในไตรมาสก่อนมีกำไรจากรายการพิเศษหลายรายการ โดยเราคาดว่า ธนาคารที่จะเติบโตได้ทั้งงวดเดียวกันปีก่อนและไตรมาส 3 ปี 2561 คือ BBL, KKP, KTB และ SCB
ส่วนธนาคารที่ปรับตัวลดลง คือ TCAP และ TMB ด้านสินเชื่อในไตรมาส 4 ปี 2561 เราคาดว่า จะเติบโตได้ที่ 5% จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 3% จากไตรมาส 3 ปี 2561 จากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะที่ NPL รวมในไตรมาส 4 ปี 2562 จะอยู่ที่ 3.11% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ 3.13% ทั้งนี้ เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนเป็นมากกว่าตลาด จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ซึ่งคาดว่า จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีก 2 ครั้ง ในปีนี้
สอดคล้องกับ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด ซึ่งมี 4 เหตุผลที่เรามีมุมมอง มากกว่าตลาดต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2561 ของกลุ่มธนาคาร คาดกำไรกลุ่มฯ โตเด่น 17.4% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากค่าใช้จ่ายสำรองลดลง แต่หดตัวไตรมาส 3 ปี 2561 เพราะ ไม่มีกำไรพิเศษ และ Opex สูงตามปัจจัยฤดูกาล โดย KKP เด่น เพราะคาดเป็นธนาคารแห่งเดียวที่กำไรเติบทั้งงวดเดียวกันปีก่อนและไตรมาส3 ปี 2561
ขณะที่ ปี 2562 คาดธนาคารขนาดใหญ่เด่น จากสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น, NIM ได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยขาขึ้น และ Cost to income ratio ผ่านพ้นจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส4ปี 2561 และ เลือก SCB และ BBL เป็น Top pickของกลุ่ม