“บอร์ด รฟม.” ประชุมนัดพิเศษ! เห็นชอบรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก 1.43 แสนล้านบาท เตรียมเสนอเข้าคมนาคมในสัปดาห์นี้ คาดเปิดประมูลได้ในปี 2562
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. นัดพิเศษ มีมติเห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร และการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มตลอดเส้นทาง ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี วงเงินรวม 1.43 แสนล้านบาท
โดย รฟม. เป็นผู้เสนอให้บอร์ดประชุมนัดพิเศษเมื่อวันที่ 7 กันยายน เพราะต้องการนำความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไปรายงานต่อคณะกรรมนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการพีพีพี) ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธาน ซึ่งมีนัดประชุมในวันนี้ (10 ก.ย.)
“ที่ผ่านมาเราใช้เวลาศึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มหลายเดือน ซึ่งเวลามีประชุมคณะกรรมการพีพีพี ท่านสมคิดก็จะคอยสอบถามและติดตามโครงการนี้ ทาง รฟม. จึงเร่งรัดและขอให้บอร์ดประชุมนัดพิเศษเมื่อวันที่ 7 กันยายน เพื่อพิจารณาโครงการ ซึ่งบอร์ดก็ให้ความกรุณาร่วมประชุมและได้พิจารณาเห็นชอบ รฟม. จึงได้นำความคืบหน้าดังกล่าวไปรายงานต่อบอร์ดพีพีพีในวันนี้” นายภคพงศ์กล่าว
หลังจากนี้ รฟม. จะเสนอผลการศึกษาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกและงานเดินรถให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ จากนั้นคาดว่าจะเสนอให้คณะกรรมการพีพีพีเห็นชอบได้ราวปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน และเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในภายในปีนี้
ในปี 2562 จะเป็นช่วงร่างเงื่อนไขการประมูล (TOR) และเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทาน คาดว่าจะต้องใช้เวลาเกือบ 1 ปี จึงทราบผลและเริ่มก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ได้ก่อน ในปี 2566 และเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ ในปี 2568
เอกชนลงทุนงานโยธาก่อน 9.6 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจ่ายคืนใน 10 ปี
นายภคพงศ์ กล่าวว่า โครงการมีวงเงินลงทุนรวมทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท, ค่าก่อสร้างงานโยธา 9.6 หมื่นล้านบาท และค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถ การเดินรถ 3.2 หมื่นล้านบาท
รูปแบบการลงทุนจะเป็น PPP Net Cost จำนวน 1 สัญญา โดยเอกชนต้องแข่งขันยื่นข้อเสนอใน 2 ส่วน
1) ค่าก่อสร้างงานโยธา 96,000 ล้านบาท ซึ่งเอกชนจะต้องเป็นฝ่ายลงทุนก่อน จากนั้นรัฐบาลจะทยอยคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยภายใน 10 ปี นับตั้งแต่รถไฟฟ้าสายสีส้มเปิดให้บริการ โดยเอกชนจะต้องแข่งขันว่า รายใดจะเสนอต้นทุนค่าก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่ากัน
“การลงทุนรูปแบบนี้จะช่วยกระจายภาระของรัฐบาล เพราะถ้ารัฐบาลกู้เงินมาลงทุนเอง ก็จะถูกบันทึกหนี้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มก่อสร้าง แต่ถ้าให้เอกชนลงทุนก่อน แล้วจ่ายคืนภายหลัง ก็เท่ากับรัฐบาลเริ่มมีภาระหนี้สินหลังจากรถไฟฟ้าเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม” นายภคพงศ์กล่าว
2) งานระบบอาณัติสัญญาณ ขบวนรถ และงานเดินรถ ระยะเวลา 30 ปี วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเอกชนจะต้องเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด โดยเอกชนต้องแข่งกันยื่นข้อเสนอว่า รายใดจะรับผลประโยชน์จากค่าโดยสารและพื้นที่เชิงพาณิชย์ต่ำกว่ากัน เพราะยิ่งเอกชนรับผลประโยชน์ต่ำเท่าไหร่ ก็จะทำให้รัฐบาลได้รับผลประโยชน์ส่วนที่เหลือมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้ รฟม. จะมอบพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในโครงการให้เอกชนบริหารทั้งหมด เพราะการลงทุนแบบ PPP Net Cost ที่ผ่านมา ก็รวบรวมงานทั้งหมดให้เป็นสัมปทานอยู่แล้ว แตกต่างจากการลงทุนรูปแบบ PPP Gross Cost ที่รัฐบาลจะจ้างเอกชนลงทุน แต่บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ด้วยตัวเอง
“จะมีคนสนใจแค่ไหนก็ต้องลองดู เพราะไฮสปีดในอีอีซี วงเงินเป็นแสนล้านบาทก็ยังมีคนสนใจ อีกทั้งอันนี้เป็นโครงการลงทุนระบบราง ซึ่งประเทศไทยก็เป็นที่สนใจของต่างประเทศอยู่แล้วด้วย” นายภคพงศ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา บอร์ด รฟม. เพิ่งตีกลับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดย รฟม. คาดว่าอาจเสนอเรื่องให้บอร์ดพิจารณาได้อีกครั้งในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ แต่ รฟม. ได้เชิญบอร์ดประชุมนัดพิเศษก่อนในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อนำความคืบหน้า ซึ่งเป็นผลงานขององค์กร รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการพีพีพีให้ทันในวันนี้ (10 ก.ย.)
นอกจากนี้ รฟม. ยังเตรียมเสนอการเปิดประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) หรือรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ วงเงิน 101,112 ล้านบาท ให้ที่ประชุมบอร์ดพิจารณาในปลายเดือนกันยายนนี้ด้วย