ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 มีมติวางกรอบกำหนดบัญชีก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) สามารถติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เพื่อรักษาระดับราคาแอลพีจี ครัวเรือนขนาดถัง 15 กิโลกรัม(กก.) ให้อยู่ที่ 363 บาทต่อไป
“กองทุนแอลพีจีไม่ได้ถังแตก เพียงแต่เป็นการบริหารจัดการระหว่างกองทุนแอลพีจีและกองทุนน้ำมันในช่วงราคาแอลพีจีผันผวน” ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า
พร้อมกันนี้กบง.ยังมีมติให้ขอความร่วมมือจากบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ลดและงดส่งออกแอลพีจี ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ยกเว้นมีความจำเป็นทางเทคนิค เช่น การปิดซ่อมบำรุงรักษาของหน่วยที่รับแอลพีจี เป็นต้น โดยมีแนวทางให้เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรณีที่จะมีการส่งออกอัตรา 7 บาทต่อกก. ซึ่งจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 3 สิงหาคม2561 อีกครั้ง
“สถิติ 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) มีการนำเข้า LPG เฉลี่ย 42,120 ตันต่อเดือน ส่งออกเฉลี่ย 22,876 ตันต่อเดือน ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศสูงกว่าการผลิตในประเทศอยู่ที่ประมาณ 20,000 ตันต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าการนำเข้ามีปริมาณมากกว่าความต้องการ จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาขาดแคลน ที่ประชุมกบง.เห็นว่าควรเพิ่มระดับการแข่งขันของตลาดในประเทศ โดยให้โรงแยกก๊าซฯและโรงกลั่นน้ำมัน ลดการส่งออกโดยให้มุ่งเน้นการแข่งขันจำหน่ายแอลพีจี ให้ตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้น”
ขณะเดียวกัน เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ราคานำเข้าและราคาแอลพีจี ณ โรงกลั่น จากเดิมเปลี่ยนแปลงเป็นรายสัปดาห์ เป็นทุกสองสัปดาห์แทน โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 สัปดาห์ ก่อนหน้าในการคำนวณค่าที่จะใช้ในสองสัปดาห์ถัดไปมีผลวันที่ 31กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อให้สะท้อนราคาซื้อขายที่เป็นจริงมากขึ้น
ดร.ทวารัฐ กล่าวว่าประชุมยังปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก 0.50 บาทต่อลิตรเป็น 0.13 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 จาก 3.51 บาทต่อลิตรเป็น 3.10 บาทต่อลิตร
ส่งผลให้สถานะของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 เป็นบวกสุทธิ 29,673 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 724 ล้านบาทต่อเดือน หรือมีเงินไหลเข้า 24 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมมีรายจ่ายติดลบวันละ 35 ล้านบาท หรือ 1,040 ล้านบาทต่อเดือน
