Economics

เศรษฐกิจการคลัง เดือนธ.ค.2566 ได้ปัจจัยหนุนท่องเที่ยวขยายตัว ส่งออกโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5

รายงานเศรษฐกิจการคลัง เดือนธ.ค.2566 ได้ปัจจัยหนุนจากท่องเที่ยวขยายตัว และส่งออกโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 การบริโภค-การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2566 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2566 มีสัญญาณชะลอตัวจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5

ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เศรษฐกิจการคลัง

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน

มีสัญญาณปรับตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนธันวาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -7.0% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -4.9% ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนธันวาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -1.4% รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนธันวาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -1.2%

อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนธันวาคม 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 62.0 จากระดับ 60.9 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และสูงสุดในรอบ 46 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน

มีสัญญาณปรับตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.7% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -22.3% สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนธันวาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -4.4% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -2.8% ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -41.2%

เศรษฐกิจการคลัง
นายพรชัย ฐีระเวช

มูลค่าการส่งออกสินค้า

ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ 22,791.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 4.7% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า เพิ่มขึ้นที่ 2.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โดยขยายตัว 25.3 6.8% และ 4.3% ตามลำดับ

นอกจากนี้ สินค้าน้ำตาลทราย ข้าว ผักสด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และสิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัว 43.2% 27.4% 19.0% และ 16.2% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ ชะลอตัว

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวดีขึ้นในตลาดอาเซียน-5 ทวีปออสเตรเลีย และจีนที่ขยายตัว 18.0% 5.4% และ 2.0% ตามลำดับ รวมทั้งกลุ่มตลาดอื่น ๆ ที่ขยายตัวได้ดี อาทิ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช(Commonwealth of Independent States: CIS) และลาตินอเมริกา ที่ขยายตัว 50.4% และ 14.4% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดยูโรโซน และญี่ปุ่น ลดลง

เศรษฐกิจการคลัง

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน

สำหรับภาคบริการมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนธันวาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 3.26 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 45.5% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ตามลำดับ

ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนธันวาคม 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -2.4% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -0.5% จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง และหมวดไม้ผล

อย่างไรก็ดี ผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ อาทิ สุกรและไก่ขยายตัว สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจาก ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนธันวาคม 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 88.8 จากระดับ 90.9 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยเสี่ยงจากภาคการผลิตที่ชะลอลงตามกำลังซื้อของประชาชนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี

สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ -0.83% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.58% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ 61.9% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 อยู่ในระดับสูงที่ 224.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo