Economics

ส่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลเศรษฐา 100 วันที่ผ่านมา ประชาชนได้อะไรบ้าง?

ส่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “รัฐบาลเศรษฐา” 100 วันที่ผ่านมา ประชาชนได้อะไรบ้าง?

นับถอยหลังอีกไม่กี่วันจะผ่านปี 2566 อย่างเป็นทางการ แม้ตลอดปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจในประเทศจะไม่ได้เติบโตแบบกระชากอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจต้องดีหลังเลือกตั้ง และแม้ “รัฐบาล” ภายใต้การนำของ นายเศรษฐาทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะระดมออกมาตราการนู่นนี่นั่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ดูท่าว่าจะยังไม่เห็นผล ไม่รู้เพราะว่าเป็นผลพวงจาก “วิกฤติโควิด” หรือความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลยังไม่มากพอ

รัฐบาลเศรษฐา

วันนี้ #TheBangkokInsight ได้รวบรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก “รัฐบาลเศรษฐา” ที่เดินหน้ามาต่อเนื่องระบุว่ามากกว่า 100 วันที่ผ่านมา โดยเน้นทั้งมาตรการลดรายย่อย เพิ่มรายได้ เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมามีอะไรบ้าง?

มาตรการ “ลดรายจ่าย”

  • ปรับลดราคาค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย 3 เดือน
  • ปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาท/ลิตร
  • ปรับลดราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินลง 1 บาทต่อลิตร
  • ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม LPG ขนาด 15 กิโลกรัม ไว้ที่ 423 บาทต่อถัง
  • ลดราคารถไฟฟ้าสีม่วงและสีแดง 20 บาท ตลอดสาย
  • ไฟเขียวจ่ายเงินช่วยค่าเก็บเกี่ยว ไร่ละ 1,000 บาท 4.68 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ
  • ช่วยชาวไร่อ้อย ตัดอ้อยสด ลด PM 2.5 120 บาท/ตัน
  • เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
  • พักหนี้เกษตรกรที่มีหนี้ไม่เกิน 3 แสนบาท
  • บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ นำร่อง 4 จังหวัด (แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส)

มาตรการ “เพิ่มรายได้”

  • กระตุ้นการท่องเที่ยว วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน รัสเซีย
  • ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ป.ตรี 18,150 บาท โดยจะปรับขึ้นในอัตรา 10% เป็นระยะเวลา 2 ปี
  • ผลักดันกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท
  • ขยาย OTOP สู่แพลตฟอร์มออนไลน์ สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้สินค้า OTOP
  • ขยายเวลาปิดสถานบริการ นำร่อง 4 จังหวัด กรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
  • ขยายเวลาการเปิดให้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง

IMG 20230915114316000000

นโยบายเร่งด่วนระยะสั้นทำทันที

จะเห็นได้ว่าทันทีที่ “เศรษฐา” เข้ารับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ก็เริ่มเดินหน้านโยบายเร่งด่วนระยะสั้นทันที โดยนโยบายแรกที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ลดค่าไฟจาก 4 บาทกว่า เหลือ 3.99 บาท พร้อมระบุว่า ถ้าหากทำได้ ก็จะทำให้อีก นอกจากนี้ ยังปรับลดราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซิน ลดราคารถไฟฟ้าสายสีแดงและม่วงเหลือ 20 บาทตลอดสาย รวมทั้งดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือน ลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ให้เกษตรกร

ส่วนการแก้ปัญหาระยะกลางนั้น รัฐบาลก็มีมาตรการเข้าไปดูแลเรื่อง “หนี้นอกระบบ” ที่กัดกร่อนสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายระบุไว้ ทำให้ประชาชนหลุดจากวงโคจรหนี้นอกระบบยาก โดย “เศรษฐา” ได้ประกาศให้เรื่องดังกล่าวเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือในการจัดการ

ขณะที่ “เพิ่มรายได้” ให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเกษตรกร เนื่องจาก 40% ของประชากรไทยอยู่ในภาคเกษตรกรรม รัฐบาลจะเข้าไปให้องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการทำการเกษตร ใช้กลไกการตลาดในการเปิดตลาดใหม่ ๆ ไปยังต่างประเทศ เป็นการขยายโอกาส และเพิ่มความต้องการผลผลิต ซึ่งจะทำให้ราคาของพืชผลสูงขึ้น นำไปสู่รายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ส่วนในภาคการท่องเที่ยว ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มรายได้ รัฐบาลได้ให้วีซ่าฟรีกับชาวจีน ไต้หวัน และอินเดีย รวมถึงคาซัคสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ และกำลังซื้อสูง จากข้อมูลพบว่ามีนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถานเดินทางมาพักผ่อนที่ไทย อย่างที่จังหวัดพังงามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องด้วยปัจจัยทางคมนาคม ที่มีระบบขนส่งมวลชนรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึง

อีกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี คือ การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยจะปรับขึ้นในอัตรา 10% เป็นเวลา 2 ปี ในปีงบประมาณ 2567-2568 คาดเริ่มต้นการขึ้นเงินเดือนงวดแรกได้ภายหลังจากงบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปีนี้

shutterstock 1381080518

ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ

การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการในครั้งนี้ เป็นเฉพาะกลุ่มข้าราชการบรรจุใหม่ก่อน ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นปีละ 10% เพื่อให้ปีที่ 2 ของการทำงาน คือ ปี 2568 ข้าราชการบรรจุใหม่มีเงินเดือนถึง 18,000 บาท ในระหว่างการรอการปรับฐานขึ้นเงินเดือนขึ้น ในช่วงนี้จะมีเงินช่วยค่าครองชีพเข้าไปช่วยก่อน แต่จะเพิ่มขึ้นเท่าใดนั้น กรมบัญชีกลางจะกลับไปพิจารณารายละเอียดมาเสนอ ครม. อีกครั้ง

ส่วนกลุ่มข้าราชการ ที่บรรจุเข้ามาก่อนหน้า 1-2 ปี ที่การปรับฐานเงินเดือนใหม่จะเริ่มต้นขึ้นนั้น จะมีการพิจารณาปรับฐานเงินเดือนขึ้นมาใหม่ให้มากขึ้นกว่าข้าราชการบรรจุใหม่ที่ได้เงินเดือน 18,000 บาท เล็กน้อย เพื่อให้มีช่องว่างระหว่างเงินเดือนของข้าราชการเดิมที่เพิ่งเข้ามาก่อนหน้าไม่นานและข้าราชการบรรจุใหม่ด้วย

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

คณะกรรมการไตรภาคี มีมติขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ จาก 328-354 บาทเป็น 330-370 บาท เริ่ม 1 มกราคม 2567 แต่ดูท่าว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ถึงกับบอกเลยว่าตลอดการทำงานที่ผ่านมา เรื่องที่บั่นทอนจิตใจมากที่สุด คือ ค่าแรงขั้นต่ำ พร้อมระบุว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอิงกับกฎหมายหรือไตรภาคี เป็นเรื่องของสามัญสำนึก เป็นเรื่องที่ต้องเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

โดยมีรายงานว่า คณะกรรมการไตรภาคี จะมีการประชุมเรื่องค่าแรงใหม่อีกครั้งในปีหน้า ต้องติดตามกันว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

52803747451 b162682762 o 1

สั่งลุยรถยนต์ไฟฟ้า

รัฐบาลสั่งเดินหน้ามาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง : การจุดกระแสยานยนต์ไฟฟ้าในไทย เริ่มต้นเมื่อคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้ตั้งเป้าให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ารวมกว่า 1.05 ล้านคันภายในปี 2025 รวมทั้งผลิตยานยนต์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ให้ได้ 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด หรือคิดเป็น 725,000 แสนคันภายในปี 2030

โดยบริษัทผู้ผลิตและนำเข้ารถอีวี จะไดรับการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์จาก 8% เหลือ 2% ลดอากรเขาเข้าสำหรับรถ BEV ที่นำเข้าทั้งคัน (Completely Built Up หรือ CBU) สูงสุด 40% และมาตรการเงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาท รถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน เพื่อใช้เป็นส่วนลดให้กับผู้ซื้อรถ‍

สำหรับเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับบริษัทผลิตและนำเข้ารถนั้น รถยนต์นั่งที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท ขนาดความจุแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 10 kWh แต่น้อยกว่า 30 kWh ได้รับเงินอุดหนุน 70,000 บาทต่อคัน ขนาดความจุแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 30 kWh ขึ้นไป ได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน

จับตา “โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต”

จากนี้คงต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของปี 2567 ของรัฐบาลเศรษฐา โดยเฉพาะ “โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต” ว่าจะสามารถคลอดออกมาได้จริงหรือไม่ เพราะวันนี้นอกจากต้องรอความชัดเจนจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ยังต้องนำเรื่องนี้เข้าสภาอีกด้วย นักวิเคราะห์หลายสำนักเชื่อว่า หากรัฐบาลสามารถเดินหน้า “โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต” ได้จริงก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทยอย่างมาก

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK