Economics

SCB CIO มองแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567 ‘ส่งออก-อสังหาริมทรัพย์’ ฟื้นตัวช้า เหตุดอกเบี้ยค้างสูงนาน 

SCB CIO มองแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567 “สหรัฐ-ญี่ปุ่น” ชะลอตัวแบบจัดการได้ “จีน-เวียดนาม” มีโอกาสกระทบหนัก “ส่งออก-อสังหาริมทรัพย์” ฟื้นตัวช้า เหตุดอกเบี้ยค้างสูงนาน 

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน ในปี 2567 มี 4 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567

ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2567

จะอยู่ในภาวะที่แต่ละประเทศชะลอตัวไม่เหมือนกัน (Uneven slowdown) จากภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้นต่อเนื่อง และค้างไว้เป็นเวลานาน (Higher for longer) ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ไปจนถึงช่วงกลางปี 2567 เป็นอย่างน้อย

การชะลอตัวของเศรษฐกิจ จะมาจากการชะลอตัวของภาคการส่งออก รวมทั้งภาคธุรกิจที่อ่อนไหวสูงต่อดอกเบี้ย ได้แก่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคก่อสร้าง โดยประเทศที่ยังมีตลาดแรงงาน และค่าจ้างเติบโต จะมีกำลังซื้อในประเทศ ช่วยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังชะลอตัวแบบจัดการได้ (soft landing) เช่น สหรัฐ และญี่ปุ่น

ส่วนประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก และมีปัจจัยถ่วงเฉพาะตัว เช่น การฟื้นตัวช้าของภาคอสังหาริมทรัพย์ มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวค่อนข้างมาก เช่น จีน และ เวียดนาม

ดอกเบี้ยแม้จะสูงนาน แต่ตลาดคาดหวัง เห็นการลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ

ในส่วนของ SCB CIO มีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2567 ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจปรับมาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control : YCC) ให้เข้มงวดขี้น ในช่วงเดือน เมษายน 2567 แล้วจึงจะยกเลิกทั้งมาตรการ YCC และนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (NIRP) ในเดือนตุลาคม 2567

โดยธนาคารกลางกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ เช่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และ อินเดีย มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ในปี 2567

อย่างไรก็ดี แม้ตลาดคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ แต่ในส่วนของนโยบายการคลังนั้น หากประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้ว มีแนวโน้มจะทำมาตรการการคลังขนาดใหญ่ ก็จะทำให้ตลาดมีความกังวล และส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น และค่าเงินอ่อนค่าลง

727040
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ

ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตาม

ได้แก่ ความเสี่ยงด้าน Stagflation คือเศรษฐกิจโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง โดย SCB CIO ประเมินว่ากลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้สูงกว่าภูมิภาคอื่น

ในขณะที่ภาคธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield to Worst) ของกลุ่มหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ในสหรัฐ ที่ล่าสุดอยู่ในระดับ 8.6% (เทียบกับ 5.1% ในช่วงต้นปี 2563) หรือกรณี yield หุ้นกู้ไทย rating BBB อายุ 5 ปี ที่ล่าสุดอยู่ที่ 5.6% (เทียบกับ 4.2% ในช่วงต้นปี 2563)

ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและนโยบาย จากการเลือกตั้งในหลายประเทศเศรษฐกิจหลัก

เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา เพราะอาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบาย รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้ โดยในปี 2567 จะมีการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 มกราคม อินโดนีเซีย วันที่ 14 กุมภาพันธ์ อินเดีย ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และ สหรัฐ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน เป็นต้น

ในช่วงการหาเสียงและประกาศนโยบาย อาจมีผลทำให้ตลาดการลงทุนเกิดความผันผวน จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศได้

ดร.กำพล ระบุว่า ธนาคารคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมา กระจุกตัวอยู่ในเงินฝาก และตลาดเงินค่อนข้างมาก ฉะนั้น ในปี 2567 นี้ จึงคาดว่า นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง จะมีมากขึ้น แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงแม้เริ่มลดลงมาบ้าง รวมถึงหนี้สินในบางภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง นักลงทุนควรเน้นคัดเลือกลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง

ในส่วนของการลงทุนตราสารหนี้ จากข้อมูลในอดีต พบว่า หลังจากที่เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย 12 เดือน สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก ยกเว้นเพียงปี 2543 ที่เกิดวิกฤติฟองสบู่ กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐ ซึ่งส่งผลลบต่อตลาดหุ้น และทำให้ตราสารหนี้มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวก ในช่วงที่เฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกด้วย

แต่เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว จนนำไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดอาจทำให้ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชน เทียบกับพันธบัตรรัฐบาล ปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง

ประกอบกับในปี 2567-2568 จะเริ่มมีหุ้นกู้ทยอยครบกำหนดเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงการ rollover หนี้ในกลุ่มนี้มากขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำ ลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade bonds)

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567

ส่วนการลงทุนในหุ้น แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ที่เป็นกลุ่ม Quality Growth มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ มีงบดุลที่แข็งแกร่ง โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐน่าสนใจ คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 และความชัดเจนของนโยบายการเงินที่ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยควรให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มที่ทนทานกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ (Defensive) มากขึ้น

สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น มองว่า ให้ทยอยสะสมได้ เพราะผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี และคาดว่าจะมีแรงซื้อหุ้นญี่ปุ่น จากนักลงทุนต่าง ๆ มากขึ้น

ตลาดหุ้นอินเดีย เราแนะนำทยอยลงทุน จากปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในช่วงของการขยายตัว และมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับในอดีต ขณะที่ตลาดหุ้นไทย มีความน่าสนใจมากขึ้น จากมูลค่าหุ้นที่คุ้มค่าขึ้น เมื่อพิจารณาในแง่ผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo