Economics

เฮ! สปสช. เบิกจ่าย 2 พันล้าน ‘นอกสิทธิบัตรทอง’ ได้ หลังกฤษฏีกาขี้ มีอำนาจบริการป้องกันโรคแก่คนไทยทุกคน

เฮ! สปสช. สามารถเบิกจ่าย 2 พันล้าน “นอกสิทธิบัตรทอง” ได้ หลังกฤษฏีกาขี้ มีอำนาจบริการป้องกันโรคแก่คนไทยทุกคน 

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 3  กรกฎาคม รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฏีกา เรื่องการส่งร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ เพื่อพิจารณา

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากบอร์ด สปสช. มีความมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนทุกสิทธิ เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยไม่มีอุปสรรคทางการเงิน และไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย จึงเห็นชอบให้ทำความชัดเจนประเด็นมาตรา 9 และ มาตรา 10 ถึงความครอบคลุมการดูแลประชากร โดยให้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2565

สิทธิบัตรทอง

สปสช.มีอำนาจให้บริการสาธารณสุขแก่คนไทยทุกคน

ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ ในสิทธิบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งภายหลังบอร์ด สปสช. ได้พิจารณาเพิ่มความครอบคลุมผู้ที่ไม่ใช่สิทธิบัตรทองอีก 6 กลุ่ม

โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีหนังสือลงวันที่ 19 มิถุนายน 2566 แจ้งว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดแล้ว โดยสรุปความได้ว่าร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ทำให้คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ไม่สามารถตรวจพิจารณาต่อไปได้

สิทธิบัตรทอง

อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ตามมาตรา 5 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ บัญญัติให้ “บุคคลทุกคน” มีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น สปสช.จึงมีหน้าที่ต้องให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานแก่บุคคลทุกคนโดยเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ตามมาตรา 18 (14) บัญญัติให้ บอร์ด สปสช. มีหน้าที่และอำนาจปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เห็นชอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ครอบคลุมการให้บริการสาธารณสุขแก่ “ประชากรไทยทุกคน” ไม่ได้ยกเว้นบุคคลตามมาตรา 9 และมาตรา 10

คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ มีความเห็นว่า สปสช. จึงมีอำนาจในทางบริหารตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 5 ประกอบกับมาตรา 18 (14)

ดังนั้น กรณีจึงเป็นการสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ต่อไป เพื่อคุ้มครองสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของประชากรไทยทุกคน

สิทธิบัตรทอง

รอมติครม. เตรียมเบิกจ่าย 2 พันล้าน

นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามคงต้องรอมติจากคณะรัฐมนตรี ในการดำเนินการเพื่อให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคกับคนไทยทุกคนก่อน โดยในระหว่างนี้ สปสช.จะทำจัดทำร่างประกาศฯ หลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 เพื่อกำหนดการเบิกจ่ายสำหรับบริการสาธารณสุขด้านการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพให้ครอบคลุมคนไทยทุกคน และเสนอให้ รมว.สาธารณสุข ลงนามต่อไป

ทันทีที่มีมติ ครม. ออกมารองรับ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ และเมื่อร่างประกาศฯ มีผลบังคับใช้ สปสช.พร้อมที่จะดำเนินการทันที รวมถึงการบริหารจัดการงบประมาณในส่วนของบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งขณะนี้มีหน่วยบริการที่ได้ให้บริการผู้ไม่ใช่สิทธิบัตรทองไปแล้ว และรอการเบิกจ่ายอยู่ประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท

ส่วนที่เกรงว่าขณะนี้ใกล้ 30 กันยายน สิ้นปีงบประมาณ 2566 จะทำให้เงินก้อนนี้ตกไปนั้น ตามระเบียบสำนักงบประมาณกำหนดให้ กรณีที่ไม่สามารถใช้เงินงบประมาณได้ทัน ในช่วง 1 ปี เป็นอำนาจของเลขาธิการฯ ในการขอกันเงินงบประมาณที่เหลืออยู่ไปใช้ต่อได้ อย่างไรก็ตามต้องชี้แจงว่า สปสช.มีแผนในการใช้งบประมาณที่ชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหาและขอให้มั่นใจได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo